บทที่ 4 ตอนที่4
ตอนที่4
@เช้าของอีกวัน
"ป่านนี้ทำไมคุณใหญ่ยังไม่กลับมาอีก?" โฉมฉายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกำลังกังวลหนัก เธอเดินไปมาระหว่างห้องครัวขนาดใหญ่กับหน้าบ้าน เพื่อรอให้สิงหราชกลับมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
"เดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นแหละค่ะแม่ แม่ใจเย็นๆก่อนนะคะ แม่เป็นคนบอกนินเองว่าคุณใหญ่จะกลับมาช่วงสายๆไม่ใช่เหรอคะ?" ลินินเอ่ยบอกแต่ไม่ได้หันกลับไปมองโฉมฉายที่เพิ่งจะเดินกลับเข้ามาในครัว
มือเรียวเล็กที่กำลังหั่นต้นหอมผักชีเพื่อจะเตรียมเอาไว้โรยหน้าข้าวต้มกุ้งที่ตั้งอยู่บนเตา
วันนี้ทั้งเธอและแม่ของเธอตื่นแต่เช้าอาสาที่จะเป็นแม่ครัวในอาหารเช้ามื้อนี้
"ใช่จ๊ะ แต่แม่เป็นห่วง" โฉมฉายยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
"คุณใหญ่เขาโตแล้วนะคะแม่ อายุก็ตั้งเยอะแล้วคงดูแลตัวเองได้ค่ะ นินว่าแม่ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ" พูดจบก็วางมีดในมือลง เอี้ยวตัวไปล้างมือเรียวเล็กจนสะอาด หันกลับมายิ้มบางๆให้กับโฉมฉาย
ทว่าโฉมฉายกลับไม่ได้ยิ้มตอบ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันอยู่ก่อนแล้วกลับขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นเส้นเดียวกัน เมื่อเหลือบไปเห็นข้อมือของลินิน
"หืม...ข้อมือลูกไปโดนอะไรมาล่ะนิน ทำไมถึงได้แดงช้ำทั้งสองข้างแบบนั้น" โฉมฉายเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่เดินตรงไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าของลินิน
มือที่เหี่ยวย่นจับข้อมือเล็กๆที่แดงช้ำทั้งสองข้างของลูกสาวขึ้นมาดูอย่างพิจารณา
ลินินไม่ได้พูดอะไร เธอเม้มปากเข้าหากันแน่นใบหน้าจิ้มลิ้มลังเลหนัก ใจหนึ่งก็อยากบอกผู้เป็นแม่เหลือเกิน ว่าคนที่ผู้เป็นแม่เป็นห่วงรอให้กลับบ้านอยู่นั้นเป็นคนรังแกเธอ
ทว่าถ้าพูดออกไปผู้เป็นแม่ก็อาจจะเครียด หมอเคยบอกกับเธอว่าไม่อยากให้โฉมฉายเครียดหรือคิดมาก
แต่จะบอกยังไงดี เธอเองก็โกหกไม่เก่งเสียด้วย แถมตอนนี้ผู้เป็นแม่ก็ยังมองมาที่เธออย่างรอคำตอบ เล่นเอาลินินเครียดเลยทีเดียว
แต่ทว่าเหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูห้องครัว ทำให้โฉมฉายละความสนใจจากข้อมือแดงช้ำของลินินในทันที
ริมฝีปากอวบอิ่มพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
"ทำอะไรกันอยู่ครับ กลิ่นหอมไปถึงข้างนอกเชียว" เสี่ยงทุ้มนุ่มลึกพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาของแฝดคนน้องอย่างติณราชดังขึ้น ก่อนที่เขาจะระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของลินินรวมถึงโฉมฉาย
ถ้าให้เขาเดาสองคนตรงหน้าคงจะกำลังขบคิดอยู่ว่าเขาคือใคร เหมราชแฝดคนพี่หรือติณราชแฝดน้องก็เขาทั้งสองคนเหมือนกันอย่างกับแกะ เขาชินไปเสียแล้วที่บางคนแยกไม่ออก
"ผมเล็กครับ ติณราชไม่ใช่พี่กลาง ดูจากตรงนี้" ปลายนิ้วใหญ่ชี้ไปที่แว่นสายตาสั้นที่ใส่อยู่ เขาสายตาสั้นแต่เหมราชสายตาปกติ
"อ๋อ...เหมือนกันมากจนน้ากับนินแยกไม่ออกเลยค่ะ ต้องขอโทษคุณเล็กด้วยนะคะ"
"ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ อีกหน่อยคุณน้ากับน้องนินก็จำได้เอง" พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวก้าวขายาวๆของตัวเองเข้าไปใกล้ๆกับหม้อข้าวต้มกุ้ง
ซึ่งลินินก็เขยื้อนตัวเว้นระยะห่างจากติณราชพอสมควร ดวงตากลมโตเลื่อนไปมองใบหน้าหล่อของคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
เธอไม่รู้จะไว้ใจติณราชได้แค่ไหนจะร้ายกาจเหมือนพี่ชายคนโตหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เมื่อมองไปแค่ไม่กี่วินาทีติณราชก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเธอมองอยู่ เขาส่งยิ้มบางๆให้เธอในทันที
"ทำเองเลยเหรอเรา เก่งนะ...หอมซะด้วย ท่าทางน่าจะอร่อย พี่ชักจะหิวแล้วล่ะสิ" ทักทายลินินด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
"เสร็จพอดีเลยค่ะ คุณเล็กจะให้นินตั้งโต๊ะเลยไหมคะ?" ลินินเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เมื่อสังเกตดูแล้วว่าติณราชดูไม่ได้ร้ายกาจเหมือนกับพี่คนโต แถมเหมือนจะเอ็นดูเธอเสียด้วยซ้ำ
"ตั้งโต๊ะเลยก็ได้ครับ พี่กลางกับคุณพ่อก็น่าจะลงมาแล้ว เดี๋ยวผมไปเรียกแม่บ้านมายกให้นะครับ" พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องครัว
"ดะ...เดี๋ยวค่ะ คุณเล็ก" เสียงของโฉมฉายดังขึ้นทำให้ติณราชต้องหันกลับมามองอย่างเลี่ยงไม่ได้
"ครับ...คุณน้า"
"คุณใหญ่ล่ะคะ คุณใหญ่ยังไม่กลับมาเลย"
"..........." ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้มบางๆออกมา "พวกเราคงต้องทานอาหารเช้ากันก่อนนะครับ ปกติถ้าพี่ใหญ่ไปเที่ยวส่วนมากก็จะกลับมาช่วง10โมงไปแล้วครับ"
"อ๋อ...ค่ะ"
"ครับ...ถ้าอย่างนั้นผมไปรอที่โต๊ะนะครับ" ติณราชพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไปในที่สุด
และนั่นก็ทำให้ภายในห้องครัวใหญ่เหลือเพียงโฉมฉายและลินินเพียงสองคนเท่านั้น
ลินินเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของโฉมฉาย เธอย่อตัวลงยื่นมือไปคว้ามือโฉมฉายพร้อมกับบีบเบาๆ เมื่อเห็นผู้เป็นแม่ยังกังวลอยู่ "อย่ากังวลไปเลยนะคะแม่ ดูจากเวลาที่คุณเล็กบอก อีกไม่กี่ชั่วโมงคุณใหญ่ก็กลับมาแล้วนะคะ"
"จ๊ะ.. อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วจริงๆ" โฉมฉายพูดพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวลินินอย่างเอ็นดู "แม่ดีใจที่มีนินอยู่ข้างๆ"
"นินก็ดีใจที่มีแม่อยู่ข้างๆค่ะ แม่ยิ้มให้นินดูหน่อยสิคะ คนสวยของนิน"
"............" โฉมฉายก็ฉีกยิ้มหวานตามที่ลินินบอก ทว่าใบหน้าก็ยังไม่คลายความกังวล
"ยิ้มให้นิน แต่หน้าแม่ยังติดกังวลอยู่เลยรู้ไหมคะ"
"แม่กลัวคุณใหญ่จะหิว"
".........." ลินินถอนหายใจพร้อมกับฉีกยิ้มบางๆ "ถ้าแม่กลัวว่าคุณใหญ่จะหิว แม่ตักข้าวต้มแบ่งไว้ให้คุณใหญ่ดีไหมคะ พอคุณใหญ่กลับมาแม่จะได้เอาไปให้คุณใหญ่ทาน"
"ก็ดีเหมือนกันนะ สุดสวยของแม่ฉลาดจริงๆ"
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนินเตรียมถ้วยไว้ให้นะ เดี๋ยวแม่เป็นคนตักแบ่งดีไหมคะ"
"แบบนั้นก็ได้จ๊ะ"
"ทำอะไรอยู่?" เสียงทุ้มของติณราชดังขึ้นในตอนที่ลินินกำลังปอกแอปเปิ้ลอยู่ในครัว คนตัวเล็กสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเพราะเธอกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ "ตกใจเหรอ? พี่ขอโทษแล้วกัน"
"ไม่เป็นไรค่ะ นินแค่คิดอะไรเพลินๆไม่คิดว่าคุณเล็กจะเข้ามาค่ะ พอดีนินเห็นคุณเล็กขึ้นไปบนห้องแล้ว" ลินินวางทุกอย่างในมือแล้วหันมาพูดกับติณราชไปตามความคิด
เพราะหลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเสร็จเธอเห็นทั้งเหมราชและติณราชเดินขึ้นไปชั้นสองของคฤหาสน์ วันนี้เป็นวันหยุดเธอคิดว่าทั้งสองคนนั้นคงจะไปพักผ่อน
"ขึ้นไปแล้ว แล้วก็ลงมาอีก"
"อ๋อค่ะ แล้วคุณเล็กมีอะไรให้นินรับใช้หรือเปล่าคะ?"
"อย่าพูดแบบนั้นนะ น้องเข้ามาในบ้านหลังนี้ไม่ใช่คนใช้ อย่าใช้คำแบบนั้นอีก" ติณราชส่งเสียงดุ
"แต่..."
"ไม่มีคำว่าแต่ พวกพี่ๆเห็นนินเป็นน้องสาว เข้าใจที่พี่พูดไหม?"
"........." ลินินไม่ได้พูดอะไร แต่คำว่าพี่ๆที่ติณราชพูดออกมาคงจะหมายถึงแค่เขากับเหมราชแค่สองคนเท่านั้น คงไม่ได้หมายถึงพี่ใหญ่คนโตอย่างสิงหราชเพราะเขาคงไม่ได้เห็นเธอเป็นน้องเลยสักนิด ออกจะเกลียดเธอมากเสียด้วยซ้ำ
"เงียบแบบนี้หมายความว่ายังไง?" ติณราชเลิกคิ้วถาม
"นินเข้าใจแล้วคะ ขอบคุณคุณกลางกับคุณเล็กที่ไม่รังเกียจนิน"
"พี่กับพี่กลางอยากมีน้องสาวมาก ดีใจที่มีนินเข้ามาในบ้าน" ติณราชพูดด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง "พี่จะออกไปทำธุระข้างนอก นินอยากได้อะไรไหม?"
"ไม่ค่ะ นินไม่ได้อยากได้อะไรขอบคุณคุณเล็กมาก"
"ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะน้องสาว" ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาขยี้หัวเล็กๆของลินินด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ติณราชจะเดินหมุนตัวออกไปจากห้องครัว
ลินินถอนหายใจออกมาด้วยความอย่างเบาใจ ติณราชดูไม่ได้ร้ายกาจอะไรแถมยังดูเอ็นดูเธอเสียด้วยซ้ำ ส่วนเหมราชถึงจะเงียบขรึมเหมือนกับพี่ชายคนโต แต่ดูไม่ได้ใจร้ายอะไร
"คุณลุงคะ...แม่คะ ทานผลไม้ก่อนค่ะ นินตั้งใจปอกเอามาให้" ลินินเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับวางจานผลไม้ไว้บนโต๊ะกระจกตรงกลาง
ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกับโฉมฉายที่กำลังถักโครเชต์อย่างขะมักเขม้น และพิพัฒน์ที่กำลังมองโฉมฉายด้วยรอยยิ้ม
"ลุงไม่กินหรอก หนูกินกับแม่หนูเถอะ ลุงว่าจะไปเคลียร์งานที่ห้องทำงานสักหน่อย หนูอยู่เป็นเพื่อนแม่สักพักก่อนนะ ลุงไม่อยากให้แม่หนูอยู่คนเดียว"
"ได้ค่ะ...นินจะอยู่เป็นเพื่อนแม่เอง คุณลุงไปทำงานเถอะค่ะ" ตอบพิพัฒน์ด้วยรอยยิ้ม
"ถ้าอย่างนั้นลุงไปก่อนนะ" พูดกับลินินจบพิพัฒน์ก็หันไปพูดกับโฉมฉาย "ผมไปก่อนนะโฉม ถ้าคุณเบื่อไปหาผมที่ห้องทำงานก็ได้"
"ค่ะ" โฉมฉายเงยหน้าไปตอบพิพัฒน์ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ซึ่งไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นพิพัฒน์ก็ลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินออกจากห้อง ทว่าก็ไม่ลืมที่จะหันมาสั่งโฉมฉายอีกครั้ง
"อาหารกลางวัน คุณกับหนูนินไม่ต้องไปทำให้เหนื่อยแล้วนะ เข้าใจที่ผมพูดนะโฉม"
"คุณสั่งโฉมเหมือนโฉมเป็นเด็กเลยนะคะ"
"..........." พิพัฒน์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากหัวเราะในลำคอกับท่าทีเง้างอนของโฉมฉายก่อนจะเดินออกไป
ซึ่งลินินที่เห็นแม่ของตัวเองหยอกล้อกับพิพัฒน์ ราวกับหนุ่มสาวที่พึ่งจีบกันใหม่ๆ ก็ได้แต่ยิ้มบางๆอย่างมีความสุข
"ยิ้มอะไรนะเรา ยิ้มไม่หุบเลยนะ"
"นินดีใจจังเลยที่แม่มีความสุข นินอยากเห็นแม่ยิ้ม อยากเห็นแม่มีความสุขไปตลอดเลยค่ะ"
"ที่แม่มีความสุขได้ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนินนะรู้ไหม"
"ยังไงเหรอคะ?"
"ก็นินเป็นเด็กดีของแม่ไงลูก แม่รักนินมากเลยนะ"
"นินก็รักแม่ค่ะ รักมากเลย" ลินินยันตัวลุกขึ้นยืนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆกับโฉมฉาย ยื่นแขนทั้งสองข้างไปโอบกอดโฉมฉายอย่างเต็มรัก
ครืด~ ครืด~ ครืด~
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นของลินินดังขึ้น หลังจากที่เธอนั่งอยู่กับโฉมฉายเกือบจะ2ชั่วโมงเห็นจะได้
ดวงตากลมโตละสายตาจากมือเหี่ยวย่นของโฉมฉายที่กำลังถักโครเชต์ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมา หลุบสายตาไปมองรายชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ ริมฝีปากอวบอิ่มระบายยิ้มออกมาในทันที
"หนุ่มๆที่ไหนโทรมาหาลูกสาวแม่ ยิ้มหวานเลยนะ" โฉมฉายเอ่ยแซวในทันที เมื่อเห็นริมฝีปากอวบอิ่มอมชมพูของลูกสาวคลี่ยิ้มกว้าง
"ไม่ใช่หนุ่มๆที่ไหนหรอกค่ะแม่" พูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปให้กับโฉมฉายได้ดู "อิงดาวโทรมาค่ะ"
"คิดถึงเพื่อนล่ะสิเรา"
"นินคิดถึงอิงดาวกับไอริสมากๆเลยค่ะ" พูดกับผู้เป็นแม่ตามความจริง
ลินินมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนนั่นก็คืออิงดาวกับไอริส นับตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีก็เจอกันกับเพื่อนนับครั้งได้ เธอจึงคิดถึงเพื่อนสาวสองคนเป็นที่สุด
"แม่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวก่อนได้ไหมคะ? นินจะขอไปคุยโทรศัพท์กับอิงดาวก่อน"
"ไปเถอะแม่อยู่คนเดียวได้"
"ค่ะ" เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งโฉมฉายก็พยักหน้าให้ ลินินจึงยันตัวลุกขึ้นยืนเธอเดินตรงไปทางด้านหลังของคฤหาสน์ ทิ้งตัวนั่งไปบนชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มือเรียวกดรับสายเพื่อนสนิทอย่างไม่รอช้า
"ฮัลโหลอิง" ลินินกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสดใส
"(ฉันคิดว่าแกจะไม่รับโทรศัพท์ฉันซะแล้วนะเนี่ย รอสายนานมาก)" อิงดาวบ่นอุบ เหตุเพราะรอสายนานจนสายเกือบจะถูกตัดอัตโนมัติ
"ขอโทษนะ พอดีเมื่อกี้คุยกับแม่อยู่น่ะ เพิ่งจะเดินออกมาเมื่อกี้นี้เอง"
"(เหรอ...อาการแม่แกเป็นยังไงบ้าง?)"
"ตอนนี้ยังทรงๆ เมื่อวานช่วงค่ำๆก็ปวดท้องต้องให้คุณลุงพาไปฉีดยาแก้ปวดที่โรงพยาบาล" ่
"(แล้วจะเข้ารักษาตัวจริงจังเมื่อไหร่ หมอได้บอกแผนการรักษาไหม?)"
"บอกมาแล้ว ตามแผนก็คืออีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ระหว่างนี้คุณหมอบอกว่าให้แม่เตรียมตัวให้พร้อม พักผ่อนเยอะๆ อย่าเครียด ทำร่างกายให้แข็งแรงที่สุด เพื่อที่จะได้พร้อมกับการทำคีโม"
"(ก็ดีแล้ว แกอย่าเครียดไปเลยนะหมอเก่งระดับประเทศขนาดนั้น ยังไงแม่แกต้องหายแน่นอน)"
"อืม...ฉันก็หวังไว้แบบนั้น" พูดแล้วก็ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ด้วยความหนักใจ
ถึงพิพัฒน์จะย้ายโฉมฉายมาเริ่มรักษาตัวใหม่ที่โรงพยาบาลเอกชนกับหมอที่เก่งที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าเป็นห่วง เพราะโฉมฉายก็เป็นมะเร็งในระยะสุดท้ายแล้ว
"(เป็นอะไรหรือเปล่า แกเงียบไปเลย)"
"เปล่าไม่ได้เป็นอะไร เอ่อ...ว่าแต่แกโทรมามีอะไรเหรอ?"
"(แกยังไม่รู้เหรอ?)"
"รู้อะไร...?"
"(ยัยบ้าไอริสนี่น่าตีจริง ขี้หลงขี้ลืมเป็นที่สุด นี่แสดงว่ายัยนั่นยังไม่ได้โทรบอกแกใช่ไหม ว่าพรุ่งนี้ฉันสองคนจะเข้ากรุงเทพฯมาเจอกันหน่อยไหมคิดถึงแกจะแย่)"
"จริงเหรอ ดีใจจังเลย ฉันก็คิดถึงพวกแกสองคนเหมือนกัน"
"(งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ แกต้องมาเจอพวกฉันให้ได้ด้วย เป็นช่วงเช้าเลยสะดวกไหม จะได้อยู่คุยกันนานๆ)"
"สะดวก...ตอนไหนก็ได้ ดีใจจังเลยจะได้เจอพวกแกสองคนแล้ว"
