บทที่ 11 chapter 11

เขาเนี่ยนะ...ท่านคิดอันใดของท่านขอรับซานเกอ สี่หนิงเหอส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดเสียแล้วซานเกอ ข้าจะได้หาทางหลบหลีกการต่อยตีแย่งชิงจากพวกนางต่างหากเล่า ท่านมิรู้หรืออย่างไรกัน จะมีเรื่องกับคนมึนเมาหรือกับอันธพาลก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องและทำให้สตรีโกรธ เพราะนางสามารถทำทุกทางเพื่อให้ท่านรู้ว่าผิด จนสำนึกได้ก็เกือบจะสายเกินไปนะขอรับ”

อย่างเช่นแม่นางสี่ซูเจียวนั่นไง นางแค้นฝั่งหุ่นมาก ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไง เพียงแค่สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มใส่นาง จนนางล้มหน้าไปกระแทกกับขอบโต๊ะ ทำให้นางเลือดไหลนิดเดียวเอง หลังจากนั้นนางก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้เขาบาดเจ็บจนเลือดออกเช่นกัน

“อีกอย่างนะซานเกอ...ข้าขอบอกให้ท่านวางใจได้เลย ข้ามิปรารถนาจะเป็นอนุท่านอ๋องแม้แต่น้อย แต่เพราะมิหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกิดขึ้นได้และข้าก็มิอาจทำให้คนที่เรือนข้าเดือดร้อนด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่ควรพาตัวเองไปทำให้ท่านอ๋องโปรดปรานที่คงจะเป็นไปได้ยาก อาจจะกลายเป็นพาตนเองไปพบเจอกับความยุ่งยากและเดือนร้อนเสียมากกว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ เมื่อถึงที่นั้นแล้ว ข้าขอเพียงแค่มีอาหารรสเลิศให้ทาน มีเตียงอุ่น ๆ ให้นอนหลับสบาย ข้าขอเพียงแค่นี้เท่านั้นเอง” สี่หนิงเหอฉีกยิ้มใส่ดวงตาของซานเกอที่มองมาอย่างตะลึงงัน

“เจ้า!”

คาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะซานเกอ...เขามีความคิดเช่นนี้

สี่หนิงเหอเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อหูคล้ายจะได้ยินคำพูดแปลก ๆ จากซานเกอ

“ท่านอ๋องเป็นบุรุษรูปงาม มิว่าใครก็ตามที่เคยเห็นใบหน้าท่าน เป็นไปมิได้เลยที่จะมิหลงใหลและปรารถนาจะอยู่เคียงข้างกาย”

“รูปงามแล้วเป็นเช่นไรหรือขอรับ เป็นถึงท่านอ๋อง ย่อมจะต้องคิดมีพระชายาเคียงคู่พร้อมบุตรในอุทร หากตัวข้าเป็นบุรุษที่มิอาจมอบสิ่งนั้นให้กับท่านอ๋องได้ เห็นทีว่าการสมรสของข้านั้นคงจะเป็นเรื่องของผลประโยชย์ทางการเมือง อาจใช้เพื่อตบตาใครบางคนเท่านั้น” อา...เป็นเช่นนี้เอง สี่หนิงเหอพยักหน้าเมื่อคิดว่าที่ตนเองคิดไปนั้นถูกต้อง

“นั่นลำธาร เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเราก็ต้องเดินทางกันต่อแล้ว ระวังด้วยล่ะ ก้อนหินมันลื่น”

‘เพราะกล่าวสู้ข้ามิได้ใช่ไหมหรือไม่ซานเกอ ท่านถึงได้รีบไล่ให้ข้าไปทำธุระส่วนตัวเช่นนี้’ หากสี่หนิงเหอก็รีบตอบรับด้วยการเดินอย่างระมัดระวังลงไปรองรับน้ำมาล้างหน้าและล้างเนื้อล้างตัว

อา...น้ำเย็นสบายดีจัง นี่ถ้าได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายก็คงจะดีมิใช่น้อย แต่ท่ามกลางลำธารสายเล็ก ทิวไม้ที่พัดไหวไปตามแรงลมหากไร้ซึ่งสรรพเสียงของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ สี่หนิงเหอก็มิอาจจะคิดในแง่ดีได้ เกิดว่ามีคนที่หวังจะปลิดชีวิตเขาซ่อนตัวอยู่ในลำธารเล่า...หากเป็นเช่นนั้น เขาคงมิอาจได้ทานอาหารรสเลิศนะสิ!

แม้จะเสียดายน้ำเย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น หากสี่หนิงเหอก็ต้องยอมตัดใจลุกขึ้นไปหาคนที่ยืนคอยอยู่ ทว่า...

หินมันลื่นทำให้เขาย่างพลาดจนร่างกายถลาไปด้านหน้า เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องพลัดตกลงไปในแอ่งน้ำจนเปียกแน่ก็เลยหลับตาเตรียมตัวสัมผัสกับน้ำเย็น ทว่า...

มันก็ผ่านมานานแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีเสียงมีอะไรตกลงไปในน้ำ ตัวเขาก็ไม่ได้เปียกปอนด้วยก็เลยรีบลืมตาดูว่าทำไมถึงไม่ได้เป็นอะไร...สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สี่หนิงเหอถึงกับอึ้ง อ้าปากค้าง เพราะตอนนี้ตัวเขาได้ตกอยู่ในอ้อมแขนของซานเกอ เราสองคนใกล้กันจนเขาได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นของคนที่ช่วยมิให้เขาเปียกปอน คนที่ทำให้เขาเห็นว่าในความเย็นชาที่มีกลับมีความเป็นห่วงเป็นใยในตัวสี่หนิงเหออยู่มิน้อย มันทำให้เขาที่แทบจะไม่เคยได้รับความรักจากผู้ใดรู้สึกซาบซึ้งใจจนเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา แม้ฟางเส้นนี้จะเปื่อยยุ่ย พร้อมจะขาดลงไปเมื่อไหร่ก็ได้ หากเขาในตอนนี้ก็ขอจับมันเอาไว้ก่อน

“เอ่อ...ข้าขอบคุณซานเกอที่ช่วยเหลือและขอโทษท่านด้วยขอรับ” สี่หนิงเหอเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ซานเกอต้องเดือดร้อน

“บอกแล้วว่าหินมันลื่น...บาดเจ็บหรือไม่” ดวงตาเข้มกวาดมองทั่วกายคนตัวเล็กว่าที่แรกเห็นก็ว่าผอมบางมากแล้ว ยิ่งเมื่อได้จับต้องก็ยิ่งเกิดเป็นความสงสัย ทำไมสี่หนิงเหอถึงได้มีรูปกายที่ผอมบางเฉกเช่นนี้ เรียกได้ว่าหากเทียบกับเด็กขอทาน...เด็กเหล่านั้นยังจะดูอ้วนพีมากเสียอีก

“ไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบพลางดันซานเกอให้ถอยห่างไป แต่กลับถูกอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นจับมือและพาเดินขึ้นไปยืนบนริมฝั่งแทน โดยที่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเขาทำให้มิอาจฝืนแรงลากได้ จนเมื่อถึงฝั่งแล้วซานเกอก็ยังมิได้ปล่อยแขนของเขาด้วย

“ข้าไม่เป็นไรแล้วขอรับซานเกอ” สี่หนิงเหอบอกกับคนที่ยังมิปล่อยแขนของเขาให้เป็นอิสระ

“ที่สี่ฮูหยินกล่าวว่า เจ้าเป็นคนซุ่มซ่าม ชอบทำให้ตัวเองและคนอื่นบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้มิมีใครกล้าที่จะชวนเจ้าเล่นด้วย คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือขอรับ ทำไมข้าถึงจำมิได้”

เมื่อซานเกอมองมา สี่หนิงเหอก็รีบจัดการตอบไปในทันทีทันใด “แม้นข้าจะจดจำเรื่องราวในวัยเยาว์มิค่อยจะได้ หากก็พอจะคุ้นอยู่ไม่น้อย เป็นตัวข้ามากกว่าที่ถูกบ่าวไพร่และคุณหนูใหญ่กลั่นแกล้ง อย่างคราวนี้ก่อนที่ท่านจะไปรับ...ความจริงแล้วข้ามิได้ป่วยหรอก แต่ข้าถูกทำร้าย”

“ถูกทำร้าย! ใครมันกล้าทำร้ายเจ้า!” ซานเกอถามอย่างมิอาจข่มกลั้นโทสะเอาไว้ หากใบหน้านั้นมิถูกหน้ากากปกปิดอยู่ สี่หนิงเหอคงจะได้เห็นดวงตาที่แข็งกร้าวและดุร้ายราวกับพยัคฆ์ ใบหน้าที่มันเกรี้ยวกราดด้วยโทสะ พร้อมที่จะบั่นคอคนที่กล้าลงมือทำร้ายสี่หนิงเหอในทันที

สี่หนิงเหอสะดุ้งเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของซานเกอ ที่มาพร้อมกับความงุนงงและไม่เข้าใจว่าซานเกอจะโกรธเคืองเช่นนี้ทำไม ส่วนหนึ่งมันทำให้เขาสงสัยว่าพวกเขามิล่วงรู้หรือว่าสี่หนิงเหอถูกทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง เป็นไปมิได้เลยที่พวกเขาจะมิอาจล่วงรู้เรื่องภายในเรือนที่สี่หนิงเหออาศัยอยู่

สี่หนิงเหอทรุดกายลงนั่งบนพื้นหญ้า “ข้าว่าการข่าวของพวกท่านคงมิด้อยจนมิรู้ว่าข้าอยู่ในเรือนแห่งนั้นในสภาพเช่นไรนะซานเกอ”  ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะเจ็บปวดมากที่เอ่ยคำนี้ออกมา มีคำถามมากมายรายที่เขาอยากได้คำตอบ

ทำไมบิดาถึงไม่รัก ทำไมถึงปล่อยปละละเลยมิใส่ใจในตัวบุตรชายผู้นี้ รู้บ้างหรือไม่ว่าสี่หนิงเหอถูกกลั่นแกล้งจนเจ็บไข้ไม่สบาย เขากินอยู่หลับนอนเช่นไร กินอิ่มหรือไม่ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อุ่นสบายใส่หรือเปล่า หากเดี๋ยวนี้...สี่หนิงเหอกลับขอบคุณพวกเขาที่ทำกับตนเองเช่นนั้น เป็นเพราะพวกเขาหล่อหลอมให้เขากล้าที่ยอมรับความเป็นจริง เมื่อพบเจอกับความเจ็บปวดก็กล้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเองและตอนนี้ก็กล้าที่จะสู้ด้วย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป