บทที่ 12 chapter 12

“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หรือที่ผ่านมาเขาจะปล่อยปละละเลยสี่หนิงเหอมากจนเกินไป

“ก็แค่ถูกตีที่ศีรษะ...ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย”

คราแรกเขาเข้าใจว่าคนที่ลงมือจะเป็นคุณชายรอง หากเมื่อหวนคิดให้ดี...ฝีมือเช่นคุณชายรอง เรื่องที่จะทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้คงจะเป็นไปมิได้แน่นอน อีกทั้ง...แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใด แต่คุณชายรองก็มิคิดทำร้ายสี่หนิงเหอให้ถึงแก่ความตายเป็นแน่

หากมองว่าเป็นการกระทำของบ่าวไพร่คนอื่น ก็มิน่าจะเป็นไปได้ ด้วยว่าน้ำหนักมือที่ฟาดลงมานั้นมัน...พอดีเกินไป เหมือนกับต้องการจะให้สี่หนิงเหอคล้ายกับเจอเรื่องที่มิคาดคิด ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น หากมันก็เกิดขึ้น เขาก็เลยจบเห่...ลงตรงนั้น แต่คงจะผิดแผนไปหน่อย เพราะสี่หนิงเหอดัน...ได้รับพรจากสวรรค์ รอดชีวิตมาป่วนพวกเขาแทนอย่างไรเล่า และเมื่อรู้ว่าผู้ใดทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่คิดแค้นเคือง แต่จะให้มิเอาคืนบ้าง มันย่อมเป็นไปมิได้ จึงต้องหาวิธีเพื่อจัดการ...เอาคืน!

สี่หนิงเหอเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับศีรษะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซานเกอ ข้าเป็นหัวแข็งนะ ให้ตีอีกหลายสิบครั้งก็มิเป็นอันใดหรอก”

รอยยิ้มที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ อีกทั้งความสดใสที่มีของสี่หนิงเหอไม่ควรจะถูกใครก็ตามทำลายมันลงไปอีกแล้ว...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันก็ไม่ควรจะหายไป

“ต่อแต่นี้ไปจะมิมีใครตีเจ้าได้อีก” ส่วนผู้ใดที่เป็นคนทำร้ายสี่หนิงเหอ...เป็นคนที่ทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มนี้ต้องเจ็บปวด ร่างกายที่ผอมบางนี้เลือดตกมีบาดแผล เห็นทีจะเอาไว้มิได้เช่นกัน!

แม้ในดวงตาของซานเกอเหมือนจะมีรอยยิ้ม หากสี่หนิงเหอกลับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเกิดเป็นความรู้สึกอึดอัดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก ซานเกอโกรธแค้นแทนเขาใช่ไหม...หากเป็นเช่นนั้นจริง สี่หนิงเหอเกือบจะหลุดรอยยิ้มออกมา

“ข้าขออะไรท่านสักอย่างได้หรือไม่ซานเกอ” ถ้าจะเอาคืนคนพวกนั้น เขาจำต้องมีฝีมือติดกายและในตอนนี้ผู้ที่จะช่วยเขาได้ก็เห็นจะมีเพียงแค่...ซานเกอเท่านั้น!

สี่หนิงเหอส่งยิ้มอย่างที่คิดว่าหวานที่สุดให้กับซานเกอ “นับตั้งแต่เล็ก...ข้าถูกทำร้ายบ่อยครั้งมาก จากที่คิดว่าคงเป็นเพียงแค่การเล่นกันระหว่างพี่น้อง ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเติบใหญ่ขึ้น การทำร้ายหนักข้อมากขึ้นทุกครั้ง แม้จะรอดกลับมาก็ล้วนแล้วแต่หวุดหวิด...พร้อมกับอาการบาดเจ็บและบาดแผลตามร่างกายมากมายไปหมด บ่อยครั้งข้าก็นึกสงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก ดวงข้าดีจนเกินไปหรืออย่างไรกัน เพราะแดนน้ำพุเหลือง ยังมิอยากต้อนรับข้ากันแน่”

ถ้าอยากจะได้รับความช่วยเหลือจากคนเช่นนี้ สี่หนิงเหอรู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ซานเกอใจอ่อนและหาทางโต้ตอบกลับมิได้

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

“ข้าเพียงแค่อยากให้ซานเกอ ช่วยสอนการวรยุทธ์ให้ข้า...สักเล็กน้อยนะขอรับ ท่านต้องไม่ลืมว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าไม่อยากจะหวังพึ่งแต่พวกท่านให้คอยปกป้องคุ้มครอง เพราะแม้จะระมัดระวังเพียงใด หากมันก็ต้องมีสักวันที่พลาดกันได้ ข้าอยากเป็นคนที่สามารถดูแลปกป้องตนเองได้” สามารถดูแลเสี่ยวฝานได้ด้วย

“จะไม่มีการพลาดเด็ดขาด ข้าจะปกป้องเจ้า จะมิยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้...ทุกคนก็จะปกป้องเจ้าเช่นกัน”

โธ่...ซานเกอ ท่านมิฟังคำกันบางเลยหรือไรขอรับ สี่หนิงเหอได้แต่กลอกตาไปมาขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่าตัวเองก้าวขาข้างไหนออกจากเรือนตระกูลสี่ ด้วยไม่ว่าจะทำอันใดก็...ง่ายดายเหลือเกิน...เขาประชด! ก็ขนาดคิดว่าการเกลี้ยกล่อมซานเกอน่าจะเป็นเรื่องง่าย เขาก็ยังทำมิได้เลย

สงสัยว่าเมื่อไปถึงจวนท่านอ๋อง เขาคงจะต้องคิดหาวิถีทางพาตัวเองไปเรียนรู้เรื่องการเจรจาพาทีเสียหน่อยแล้ว เวลาทำการค้าจะได้ลื่นไหล จะเจรจาพาทีกับผู้ใดก็มีเสน่ห์พอที่จะสามารถชักจูงได้อย่างง่ายดายด้วย

“ท่านฟังข้าสักนิดได้ไหมขอรับซานเกอ”

“อย่างหนึ่งคือข้าเป็นองครักษ์ที่มิควรใกล้ชิดกับท่านเกินไป”

แล้วที่นั่งใกล้ชิดและจับแขนเขาเอาไว้มิยอมปล่อยนี้มันอะไรกันล่ะ มันค้านกันอยู่นะซานเกอ

“หากเจ้าอยากจะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างที่กล่าวจริง ข้าสามารถเรียนท่านอ๋องให้สละเวลามาให้คำแนะนำแก่ท่านได้นะ...หนิงเกอ”

จะคำพูดที่เหมือนจะชอบอกชอบใจอะไรสักอย่าง หรือจะเป็นแววตาที่มันพร่างพราวของซานเกอและยังจะเสียงหัวเราะแผ่วพลิ้วมันทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นได้ทำอะไรบางอย่างพลาดไป!

“เราต้องไปกันแล้ว”

ซานเกอกล่าวให้รู้พร้อมส่งเสียงบางอย่างที่สี่หนิงเหอคิดว่ามันคงจะเป็นสัญญาณลับระหว่างกลุ่มพวกเขา แม้เขาจะเสียดาย หากโอกาสมิได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว เขาจะรอเวลาเกลี้ยกล่อมให้ซานเกอใจอ่อนยอมสอนวรยุทธ์ให้ข้าให้จงได้!

เพราะมัวแต่ครุ่นคิด สี่หนิงเหอก็เลย...

“ท่าน...ท่านปล่อยให้ข้าเดินไปเองก็ได้ขอรับซานเกอ” ‘ไหนท่านกล่าวว่า ข้าและท่านมิควรใกล้ชิดกันเกินไปอย่างไรเล่าซานเกอ หากสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นี่...’

“เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอเลยหรือหนิงเหอ ซุ่มซ่ามทำให้ตนเองเจ็บตัวได้เสมอ”

สี่หนิงเหออยากจะโต้ตอบออกไปว่า ‘เปล่าเสียหน่อย’ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้โต้เถียงออกไปมิได้

“ก็...ไม่นะขอรับ อย่างเมื่อครู่ ข้าก็แค่สะดุดขาตัวเองเท่านั้นเอง” ไม่สะดุดเปล่า ยังถลาไปจนหน้ากระแทกเข้ากับแผ่นหลังของซานเกอเข้าอย่างจัง จนตอนนี้ยังเจ็บจมูกอยู่เลย

“เห็นทีข้าคงจะมิอาจให้เจ้าอยู่รอดพ้นสายตาและมิอาจให้ห่างกายอีกต่อไป”

หะ! เป็นเช่นนี้เขาก็แย่นะสิ

“โธ่...ซานเกอ เป็นเพราะข้ามิชินกันการเดินทางเช่นนี้ก็ได้ขอรับ ท่านน่าจะพอล่วงรู้ว่าข้ามิเคยออกจากเรือน อย่างดีที่ได้ไปไกลสุดก็เห็นจะเป็นตลาด ได้เจอกับเรื่องที่ควรเจอ มันก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ จนแข้งขาอ่อนแรงไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง ได้พัก ทานอาหารรสเลิศสักหน่อย ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

“ดูท่า...ที่เรือนของเจ้าคงจะเลี้ยงเจ้าอย่างอดอยากปากแห้งมากเลยนะหนิงเหอ นับตั้งแต่ที่ข้าคุยกับเจ้ามา...เห็นเจ้าเรียกหาแต่อาหารอย่างเดียวเลย” ร่างกายถึงได้ผอมบางและเบาราวกับเด็กเช่นนี้

“ก็ใช่นะสิซานเกอ” สี่หนิงเหอพยักหน้ารับทั้งที่รู้ว่าซานเกอไม่เห็น เพราะตอนนี้ซานเกอให้ข้านั้นขี่หลังอยู่ จะว่าไปมันก็สบายเหมือนกันที่ไม่ต้องเดินด้วยตนเอง หากสี่หนิงเหอก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจ ที่ตนเองนั้นมิอาจจะเอ่ยพูดหรือครุ่นคิดในตอนนี้ได้

“ท่านรู้หรือไม่ ข้ากับเสี่ยวฝานต้องทานผัดผักกับข้าวต้มแทบจะทุกมื้อ คนที่นั่นกล่าวอ้างว่าข้าป่วยบ่อย มิควรที่จะทานเนื้อไก่ เนื้อหมู เดี๋ยวจะทำให้อาการป่วยที่เป็นอยู่หนักขึ้น” นี่เขามิได้กำลังฟ้องนะ แต่กล่าวออกไปเพราะหวังว่าจากนี้ไป เขาจะได้กินดีอยู่ดี ได้ทานอาหารอย่าง...หมูตุ๋นน้ำแดง น่องไก่อบ ไก่ขอทาน เป็ดยัดไส้นึ่งเสียบ้าง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป