บทที่ 14 chapter 14
สี่หนิงเหอคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะด้วย...คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้เยี่ยงนี้
“อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คมหอกคมดาบจะยื่นมาบั่นคอเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ หากเจ้ากลับเห็นแก่ท้องมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง พวกข้าละ...เชื่อเจ้าเลยหนิงเหอ”
“ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอคนเช่นนี้เหมือนกันขอรับต้าเกอ”
“ข้ามิได้จะก่อกวนทำให้พวกท่านมีโทสะนะขอรับ แต่พวกท่านจะต้องมิลืมว่า เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข้าก็ทานไม่อิ่ม” เป็นความผิดของพวกท่านนั่นแหละที่มิยอมให้เขาได้ทานปลากับไก่ด้วย “เมื่อเช้าพวกท่านก็มิให้ข้าทานด้วยเช่นกัน ถ้าข้าจะหิวก็มิใช่เรื่องแปลกนะขอรับ”
“ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดที่นำอาหารติดตัวมาน้อยเหลือเกิน
“เจ้าอย่าถือโทษโกรธตัวเองอีกเลยเสี่ยวฝาน มิใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เท่าที่เจ้าได้มานั่นก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่าพวกนั้นย่อมมิต้องให้ข้าจากมาอย่างสงบและเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ พวกเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น” มิอยากจะคิดแค้นเคือง แต่บางครั้งสี่หนิงเหอก็อยากที่จะทำให้คนพวกนั้นรู้เสียบ้าง การทำร้ายคนอื่นไม่ว่าด้วยเหตุผลและวิธีการควรจะได้รับความเดือดร้อนเฉกเช่นเดียวกัน
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกกล่าวตั้งแต่ก่อนเดินทางล่ะหนิงเหอ”
“ข้าก็อยากจะบอกกล่าวท่านอยู่นะซานเกอ แต่เป็นพวกท่านที่มิให้โอกาสข้ากล่าวอันใดเลยนะขอรับ” พอบอกว่าจะไป...ก็รวดเร็วเสียจนเขาจะเอ่ยปากก็มิทัน
“ถึงข้าปรารถนาให้เจ้าอิ่มท้องก่อนเดินทางต่อไป หากก็ทำมิได้ ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าอดทนไปก่อนนะหนิงเหอ...ถือว่าข้าติดค้างเจ้าครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยคืนละกัน”
เช่นนั้นหรือขอรับซานเกอ “ท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็จะขอรับไว้ขอรับซานเกอ ว่าแต่...ข้อขอท่านได้ทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ”
“ไม่!”
สี่หนิงเหออ้าปากค้าง ก็...
“เรื่องฝึกวรยุทธ์คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ จะให้เจ้าฝึกได้หรือไม่ เป็นท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้น”
“แต่นี้มันชีวิตของข้านะ ข้ามิมีสิทธิ์ตัดสินใจเองบ้างเลยหรือไง” สี่หนิงเหอได้แต่บ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดใจ
“เจ้าอยากเรียนวรยุทธ์” แล้วคนที่ไต่ถามก็กวาดมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าให้สองชั่วยาม”
“ข้าให้ชั่วยามเดียว แล้วท่านล่ะซานเกอ ให้เวลาเด็กน่าสนใจคนนี้สักเท่าไหร่”
“ข้าให้...ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป”
“พวกท่าน...” ช่างมั่นใจกันเสียเหลือเกินว่าเขาทำไม่ได้ คอยดูเถอะ ถ้าท่านอ๋องยินยอมให้เรียนวรยุทธ์เมื่อไหร่ เขาจะตบหน้าพวกท่านด้วยการทำมันให้ออกมาดี ข้าจะเป็นบุรุษที่มีฝีมือเก่งฉกาจหาตัวจับยากให้ได้!
“เราหยุดที่นี่นานไม่ได้” ที่หยุดอยู่นี้ก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว เส้นทางที่นี่ทอดยาวหากคดเคี้ยว ต้นไม้ก็ขึ้นรกครึ้มจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า สายตา...มิอาจมองเห็นได้ในหลายจุด จะใช้หูแว่วฟังเสียงก็ถูกรบกวนได้ง่าย หากโดนลอบโจมตีเข้าจริง...สมรภูมินี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ตกเป็นเบี้ยในกระดาน ต่อให้เก่งกล้าแค่ไหน หากก็เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
“อีกสองลี้จะถึงจุดพัก เป็นทางแยก”
คนที่หายไป...ย้อนกลับมา ในคำพูดนั้น...และตาที่พวกเขามองกัน มันเหมือนพวกเขารู้กันว่าอะไรเป็นอะไร มีเพียงแค่ตัวเขาที่ยังโง่งม ตามพวกเขาไม่ทัน เฮ้อ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง เมื่อไหร่ตัวเขาจะฉลาดกว่านี้นะ
“ตอนนี้ข้าหิวมาก...จนแทบจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิได้เอ่ยความเท็จแต่อย่างใดเลยนะ หิวจนตอนนี้ไส้กิ่วแล้ว ถึงจะไม่ได้รับอาหารชุดใหญ่ เขาก็ขอเป็นอะไรสักเล็กน้อยให้พอมีอะไรตกลงในท้องก่อนได้ไหมล่ะขอรับ
“ท่านน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง...จะทำอะไรก็ตาม ควรให้ท้องอิ่มไว้ก่อน”
“อันตรายเกินไป”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านพอมีอะไรให้ข้า...” สี่หนิงเหอเอ่ยยังไม่ทันจะจบซานเกอก็กระทุ้งเท้าบังคับให้ม้าเร่งออกเดินทางไปอีกครั้ง ซึ่งเขาได้แต่กลอกตาเพราะต้องทนหิวจนท้องกิ่วไปอีกน่าจะเป็นชั่วยาม เอาเป็นว่า...พวกท่านให้ได้ดื่มกินเมื่อไหร่ อย่ามาโทษว่าสี่หนิงเหอผู้นี้ตะกละก็แล้วกัน!
ซานเกอเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นว่าสี่หนิงเกอมองมา ในดวงตาคู่นั้นที่มองมายังเขาครุ่นคิดคล้ายจ้องจับผิด แต่เมื่อนึกได้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามองมิเห็นใบหน้าของตนเอง ก็เลยไต่ถามออกไป
“เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือหนิงเหอ ตัวข้ามีอันใดผิดปกติไปหรืออย่างไร” ซานเกอยกสองแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก มองสี่หนิงเหออย่างให้รู้ว่ามองและต้องการคำตอบ
“เอ่อ...”
สี่หนิงเหอเมินหลบสายตาของเขา...อีกทั้งใบหน้านั้นก็แดงปลั่ง มันทำให้ซานเกออดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อเขาก้มลงมองตัวเองที่ตอนนี้เปลือยอกกำยำที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการสู้รบก็ทำให้รู้ว่าสี่หนิงเหอนอกจากจะเขินอายแล้วยังจะเต็มไปด้วยความอิจฉาในรูปกายของเขาด้วย
“ว่าอย่างไรเล่า เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นทำไม” ซานเกอมองเข้าไปในดวงตาของคนที่เมื่อแรกเห็น ใจเขาถึงกับกระตุก แสงจากด้านนอกส่องมาทาบบนกายเล็กบาง ใบหน้าที่ควรจะสดใสเปล่งปลั่งสมวัยกับดวงตาที่มันควรจะเปล่งประกายด้วยความสุขกลับดูแห้งแล้ง...มันเหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ได้รับการดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีใครรดน้ำให้
รอยยิ้ม...เพียงแค่ปากหากมิใช่ในดวงตาที่มันช่างไร้ความรู้สึกสิ้นดี มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ อยากรู้ว่าเหตุใดสี่หนิงเหอถึงได้เป็นเช่นนี้
ซานเกอยอมรับ...เมื่อแรกที่ได้รับรู้ ท่านอ๋องจะต้องแต่งบุรุษเป็นอนุภรรยา แม้จะรู้ว่าท่านอ๋องมีเหตุผลที่มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ หากเขาก็ยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแต่เขา หากเราพี่น้องทุกคนล้วนยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน อยากจะกลั่นแกล้งให้สี่หนิงเหอรับรู้ว่า ไม่มีใครปรารถนาได้เขามาเป็นนายอีกคน การเดินทางครั้งนี้ เราจึงคิดเพียงแค่ว่า ทำเวลาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นกับผู้ที่พวกเรามิต้อนรับ หน้าที่ของพวกเราคือพาสี่หนิงเหอไปส่งถึงมือท่านอ๋อง...ในสภาพเช่นไรก็แล้วแต่ดวงชะตาของคนผู้นี้
หากเมื่อการเดินทางเริ่มต้น...ซานเกอก็เริ่มต้นเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้จะมีถ้อยวาจาก่อกวนที่ชวนให้อยากจะบั่นคอทิ้ง หากเมื่อมันดังมาจากปากของคนที่ชอบทำหน้าเหลอหลา คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น ขณะอีกข้างกลับตกลงมา มีดวงตาคู่เรียวเปล่งประกายร่วมด้วย มันทำให้เขานึกถึงเจ้ากระต่ายที่ฟันแหลมกำลังแทะหงหลัวโปเน่า
พวกเราเริ่มรับรู้แล้วว่า สี่หนิงเหอมีอะไรบางอย่างที่แม้จะแปลก ๆ หากก็มีความน่าสนใจ...การเดินทางที่ถ้าเป็นผู้อื่น ย่อมต้องบ่นและเรียกร้องหาความสะดวกสบายให้กับตัวเอง หากเขากลับเอ่ยถึงเรื่องของการได้ทานอาหารรสเลิศ โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองนั้นกำลังถูกปองร้ายอยู่
