บทที่ 3 chapter 3

เมื่อเห็นว่าสี่ซูเจียวไม่อาจจะโต้ตอบกลับมาได้และฮูหยินก็เพียงแค่มองมาอย่างไม่สนใจหากแต่ก็รับฟัง มันก็ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยในเรื่องต่อไป

“ตัวข้าเพิ่งฟื้นจากไข้ ควรจะต้องได้รับอาหารที่ดีและมีประโยชน์กับร่างกายบ้าง”

“เจ้าจะหาว่าท่านแม่ดูแลเจ้าไม่ดี ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนั้นหรือ”

เสียงของสี่ซูเจียวทำให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก น่าจะมีใครสักคนหาอะไรมาอุดปากนางเอาไว้บ้างนะ หากเขาก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น

“ปะ...เปล่าขอรับคุณหนูใหญ่ ท่านตีความในคำพูดของข้าน้อยผิดไปเสียแล้วขอรับ...คุณหนูใหญ่ดูข้าสิขอรับ” เขายื่นมือที่เล็กราวกับเด็กอมโรคไปให้กับคุณหนูใหญ่ดู

“ที่นี่ทุกคนล้วนแล้วแต่มีงานต้องทำ ไม่มีใครสนใจใคร แต่หากไปที่นั่น...คนที่นั่นเห็นข้าเป็นแบบนี้ก็คงจะตกใจเป็นยิ่งนัก อาจคิดไปได้ว่าเราเล่นตลกหลอกลวง จะกล่าวอ้างว่าไม่สบาย เพิ่งฟื้นจากป่วยไข้ก็ฟังดูจะไร้เหตุผล ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี ถ้าหากทางนั้นคิดว่าทางเราส่งใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นอะไรกับท่านฮูหยินและนายท่านเหวินหม่าไป...หรือไม่ขอรับ” เขารู้ว่าฮูหยินเป็นคนฉลาด ย่อมฟังความต้องการของเขาออก แต่แล้วอย่างไรเล่า สิ่งที่เขาได้กล่าวออกไป มิมีสิ่งใดมิถูกต้องเลยสักนิด สิ่งที่เขากล่าวออกไปล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น

“อีกเรื่องที่ข้าน้อยเห็นทีจะต้องขอความกรุณาจากฮูหยิน...อาภรณ์ที่สวมใส่และของใช้สอย”

“ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า...”

“ซูเจียว”

“แต่ท่านแม่...ท่านดูที่มันพูดออกมาสิ แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่ามักใหญ่ใฝ่สูงแค่ไหน มันกำลังจะทำตัวเทียบเทียมข้าและเจ้ารองอยู่นะท่านแม่”

สี่ซูเจียวออกอาการฮึดงัดไม่พอใจอย่างยิ่ง พลางชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้ผู้เป็นมารดาเชื่อและหาทางลงโทษเขา ทว่าคราวนี้คำพูดของเขาล้วนแล้วแต่ถูกกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วและมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าหวังดีต่อตระกูลสี่จริง ๆ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาไม่คิดจะใส่ใจคำที่นางพูด สี่ซูเจียวจึงหันมาถลึงตาใส่เขา ในสมองอันด้อยปัญญาของนางคงกำลังคิดว่าจะเล่นงานเขาอย่างไรดี แต่ฮึ! คราวนี้เห็นทีจะมิได้แล้วล่ะ เขามิไม่ยอมให้นางสมหวังเสียแล้วล่ะ

“คุณหนูอย่าตีความหมายที่ข้าพูดไปผิดเลยนะขอรับ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของข้า ข้า...ข้าย่อมไม่ต้องการให้ใครได้รับความเดือดร้อน” เขาพูดเสียงเบาและเศร้า แต่ในใจนั้นกลับคิดไปคนละทาง ใครจะเป็นเช่นไรก็ช่าง เขาไม่สนใจเลยสักนิด เขายังต้องการให้คนที่นี่หายไปให้หมดเสียด้วยซ้ำ

“เจ้า!”

“แม้ท่านพ่อจะไม่รักข้า แต่ที่ท่านทำเช่นนี้ก็ย่อมจะต้องมีเหตุผล หรือไม่ท่านก็คงคิดหวังให้ข้าช่วยท่านในภายภาคหน้า ถ้าหากข้าพอมีความรู้ติดตัวไปบ้าง รูปร่างก็ไม่ได้ผ่ายผอมอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ดูดีกว่านี้สักเล็กน้อย ย่อมเป็นการเปิดทางให้ท่านพ่อได้ทำตามที่หวัง...ใช่หรือไม่ขอรับท่านฮูหยิน”

ไม่ใช่ความหวังของบุรุษผู้นั้นหรอก หากเป็นตัวฮูหยินสี่อิงเหม่ยเองต่างหากเล่าที่ต้องการเปิดเส้นทางการค้าใหม่ การส่งเขาไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้นเป็นเพียงแค่การเปิดประตูเท่านั้น ที่นางหวังจริง ๆ นั้นคือการส่งบุตรีไปเป็นภรรยาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจมากพอและหวังให้บุตรชายคนใดคนหนึ่งรับราชการ เพื่อเชิดหน้าชูตาและเป็นขุมอำนาจไว้ต่อรองต่างหากเล่า

“อย่าไปเชื่อมันนะเจ้าค่ะท่านแม่ มันกำลังใช้เรื่องนั้นมาข่มขู่ คิดจะทำตัวเสมอลูก น้องรองและน้องสาม”

“แต่ถ้าฮูหยินคิดว่าสิ่งที่ข้าได้กล่าวไปนั้นเป็นเช่นดังที่คุณหนูใหญ่ได้กล่าว ข้าก็ต้องขออภัยด้วย ข้ารบกวนฮูหยินนานแล้ว คงจะต้องขอตัวก่อนขอรับ”

ต้องการสิ่งใดอย่ารุกไล่ให้มากจนเกินไป เดี๋ยวจะถูกจับพิรุธได้ แต่เขาเชื่อว่าคนฉลาดเช่นฮูหยินสี่อิงเหม่ยที่สามารถทำให้สามีที่ไม่เอาไหนกลายเป็นพ่อค้าที่มีชื่อ และยังสามารถครองตำแหน่งฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของสี่เหวินหม่าได้โดยไม่สั่นคลอน ยกเว้นมารดาของเขานะ เพราะนั่นนะ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นจริง ๆ นางยังสามารถควบคุมคนในเรือนให้เชื่อฟัง...คนเช่นนี้ไม่เพียงแค่ฉลาดแต่ยังเก่งคิดและมองการณ์ไกลด้วย ซึ่งเขาไม่ควรประมาทมองข้ามไปโดยเด็ดขาด

“ข้าจะสั่งให้พ่อบ้านฉางจัดการให้ เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็บอกไป”

“ท่านแม่!” สี่ซูเจียวกระทืบเท้าด้วยความขัดอกขัดใจ

“หวังว่าสิ่งที่ข้าทำลงไป คงจะไม่เสียเปล่า”

นั่นไง เป็นอย่างที่เขาว่าใช่ไหมล่ะ สี่อิงเหม่ย...นางไม่ยอมทำอะไรให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทนจริง ๆ นั่นแหละ

“ข้าจะมิทำให้ให้ฮูหยินผิดหวังขอรับ” ได้...เขาจะจดจำไว้ มีโอกาสเขาจะตอบแทนพระคุณ...อย่างดีเชียวล่ะ!

แม้สี่หนิงเหอจะเดินจากมาไกลมิใช่น้อยแล้ว หากหูก็ได้ยินสี่ซูเจียวโวยวายพลางตัดพ้อผู้เป็นมารดาของตนเองที่ยอมทำตามคำขอของเขา

ฮึ! นางช่างเป็นผู้หญิงที่มีแต่รูปร่างที่สวยงามชวนมอง หากสมองกลับเล็กน้อย คงมีไว้คั่นใบหูเท่านั้น...ละมั่ง!

“คุณชาย!”

เพียงแค่เห็นหน้าเขาเท่านั้น บ่าวรับใช้ผู้แสนดีและแสนจะซื่อสัตย์ก็ร้องเรียกและรีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นตื่นตระหนกและหวาดกลัวระคนห่วงใยในตัวเขาเป็นยิ่งนัก มันทำให้สี่หนิงเหอรู้ว่าคิดไม่ผิดเลยที่กระทำสิ่งนี้ลงไปในครั้งนี้

สี่หนิงเหอส่งยิ้มให้กับเสี่ยวฝาน “กลับเรือนของเรากันเถอะ” เขาบอกและเดินนำไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างคนที่อารมณ์ดีมากด้วย

“แล้ว...” เสี่ยวฝานหันรีหันขวาง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามมาอย่างรวดเร็ว

“นางเป็นคนฉลาด สิ่งที่ข้าไปบอกกล่าว นางได้ประโยชน์มากกว่าใคร แล้วทำไมนางถึงไม่ทำเล่า” สี่หนิงเหอบอกกล่าวกับเสี่ยวฝานที่ยังคงมีความกังวลใจอยู่

“จากนี้ไปพวกเรามีเรื่องต้องทำมากมาย เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมนะเสี่ยวฝาน” โอกาสที่ได้รับมามีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำพลาดไป เขาไม่กลัว เพราะถือว่าได้ทำแล้วและผลก็ย่อมต่างจากที่เคยเป็นมา หากไม่ทำต่างหากเล่า นั่นคือความน่าเสียดายและเสียใจ เพราะจุดจบของเขาก็จะยังคงเป็นเช่นเดิม

“ขอรับคุณชาย”

“อย่างแรก ข้าจำได้ว่าเจ้าสามารถออกนอกเรือนไปได้โดยไม่มีใครสงสัยใช่หรือไม่” หลังจากฟื้น ความทรงจำที่เขามี...มันเลือนรางเป็นเสมือนม่านหมอกที่ปกคลุมไปเสียจนหมดสิ้น แต่ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องราว บางครั้งเขาก็มีความรู้สึกสะท้อนก้องอยู่ในหัว มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เมื่อเพ่งพิศคิดและมอง กลับปวดจนศีรษะแทบจะแตก เขาจึงทำได้เพียงแค่เตรียมตัวรับมือเท่านั้น แต่ความทรงจำหนึ่งที่เหลืออยู่และฝังแน่นในดวงจิต นั่นคือ...เขาต้องรอด!

“ขอรับ คุณชายจะให้ข้าทำอันใดก็บอกมาเลยขอรับ”

สี่หนิงเหอรู้ว่ามีงานให้เสี่ยวฝานทำ หากในหัวกลับว่างเปล่า คิดมิออกเลยว่าจะต้องทำสิ่งใด

บทก่อนหน้า
บทถัดไป