บทที่ 6 chapter 6
เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเพียงแค่ก้าวขาขึ้นบนรถม้าถูกพาออกจากเรือน ท้องฟ้าที่เคยโปร่งมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไรกลับมืดครึ้มและฝนก็เทลงมา...
ระหว่างการเดินทาง เริ่มแรกก็ถูกโจรดักปล้น...แต่ก็ไม่ได้ทรัพย์สินอันใดไป เพราะเขามิมีติดตัวไปเลย...สักชิ้น อ๋อ...มีสิ เป็นอาภรณ์เก่าสองสามชุดไว้ผลัดเปลี่ยนระหว่างการเดินทางกับอาหารอีกเล็กน้อย
หลังพ้นจากโจรร้ายเขาเป็นไข้อย่างหนัก จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้วซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้รับการรักษาจนหายอย่าง...น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
อ๋อ...เขายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำ
การเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าสี่หนิงเหอก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก มีกี่ชีวิตกันแน่ เหตุใดถึงยังคงรอดชีวิตไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ได้ ตนเองโชคดีหรือว่าเคราะห์กรรมยังมิหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว
“อ๋อ...มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง” สี่หนิงเหอพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะลำบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน”
สี่หนิงเหอแอบเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอยู่นะ จนเผลอหลุดปากออกไป “ข้าไม่ได้จะว่าหรอกนะ แต่ข้าว่านายของท่านน่ะ พลาดอย่างที่สุดที่มาขอให้ข้าไปเป็นอนุภรรยา” หรือว่าเขาจะเข้าใจอันใดผิดพลาดไป แม้จะเป็นเพียงแค่อนุภรรยาก็ควรที่จะมีพิธีการบ้างไม่ใช่หรือ แต่เท่าที่จำได้และเห็น...ไม่มีข้อใดบ่งบอกให้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองจะมีงานมงคลที่ไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นเลย
“เป็นไปมิได้ที่พวกท่านจะมิเคยได้ยินเรื่องของข้าที่เป็นบุตรที่บิดาเลี้ยงแบบ...ทิ้งขว้าง” สี่หนิงเหอเน้นย้ำไปพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้า... เป็นบุตรที่ถูกบิดาลืมเลือน” เขายังกล่าวออกไปโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ อยู่เรือนตัวเองได้พบเจอบิดาก็เหมือนไม่ได้พบนั่นแหละ เพราะบิดาจำมิได้ด้วยซ้ำว่ามีเขาเป็นบุตรอีกคน ยังคิดว่าตัวเขานั้นเป็นบ่าวไพร่อยู่เลย
เมื่อไปถึงที่แห่งนั้น เขาก็ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็นอนุภรรยาที่ไร้พิธีการรองรับมิหนำซ้ำยังถูกผลักไสให้ไปอยู่ท้ายเรือน เป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะถูกลากให้มารับเคราะห์ ถูกใส่ร้ายจนแม้กระทั่งตายก็ยังไม่อาจล่วงรู้ว่าผู้ใดสั่งให้ตายและไม่ได้ทวงความยุติธรรมให้กับตนเอง ที่ครั้งนี้...เขาจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว!
สี่หนิงเหอลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อาศัยนอนมาหลายสิบปี หยิบเอากล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้และเดินนำบุรุษที่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครอง...ควบคุมตัวนะถูกแล้ว คงจะกลัวว่าเขาจะถูกสังหารเสียระหว่างการเดินทาง หรือไม่ก็กลัวว่าจะหากทางหลบหนีไประหว่างทางนั่นเอง
ฮึ! ถ้าเขาทำได้ เขาทำไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงวันนี้หรอกนะ
“ถ้าข้าจะยังพอมีพื้นที่ความจำในสมองอยู่บ้าง...พิธีมงคลตามกำหนดที่แจ้งมา ยังอีกเกือบจะเดือนไม่ใช่หรือท่าน หรือว่าข้าเข้าใจอันใดผิดไป” หากก็เหมือนกับว่าเขาถามก้อนหิน...ไร้คำตอบจากคนที่เดินตามมา สี่หนิงเหอก็เลยเลือกไม่สนใจ หันไปส่งยิ้มให้กับเหล่าบ่าวไพร่ที่ชะเง้อคอมองมาเขาด้วยสายตา...สมเพชเวทนา
แหม...สามีข้าช่างใจดีนักที่ส่งพวกท่านมาคอยดูแล...ควบคุมกันเยี่ยงนี้!
มาถึงห้องโถงที่ตอนนี้สี่หนิงเหอเห็นฮูหยินสี่อิงเหม่ยนั่งเป็นประธานและมีสี่ซูเจียวยืนทำหน้าง้ำหน้างออยู่ด้านหลังของนาง ใบหน้าที่ควรจะแย้มยิ้มเพราะตัวเขาจะต้องไปจากเรือนแห่งนี้กลับบึ้งตึง อีกทั้งในดวงตาของสี่ซูเจียวก็เต็มไปด้วยโทสะ
อา...นางโกรธเคืองเขาด้วยเรื่องอันใดกันเล่า สี่หนิงเหอคิดว่าว่าตอนนี้เขาไม่ได้กวนโทสะของนางแล้วนะและไม่ได้มาเสนอหน้าที่จะทำให้นางโกรธเคืองอันใดเลยด้วย
สี่หนิงเหอเลิกคิ้วมองไปยังเสี่ยวฝานที่ยืนแอบอยู่ที่ประตูของบ้าน
“คุณชายหนิงเหอมิลืมข้าวของอันใดอีกแล้วใช่ไหมขอรับ”
หือ...นั่นใครอีกล่ะ
แล้วสี่หนิงเหอก็สังเกตเห็น นอกจากฮูหยินอิงเหม่ยกับสี่ซูเจียวแล้วก็ยังมีบุรุษอีกสี่คนอยู่ในห้องนี้ด้วย...ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมใส่อาภรณ์สีดำมิดชิดและมีหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้า จะยกเว้นก็เพียงแค่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งที่คงจะเป็นหัวหน้า แม้เขาจะสวมอาภรณ์สีดำแต่หน้ากากที่ปกปิดใบหน้ากลับเป็นสีเงินซึ่งมีลวดลายแปลกตา ที่เมื่อได้สบสายตาด้วย...สี่หนิงเหอก็รู้สึกว่ากายของเขาสั่นสะท้านหนาวยะเยือก รู้สึกเหมือนกับว่ารายรอบกายมันมืดมัวหม่น อึดอัดจนหายใจติดขัดขึ้นมาทันทีทันใด
บุรุษผู้นี้ช่าง...น่ากลัว! ยิ่งนัก
“ก็ไม่...แล้วนะ” สี่หนิงเหอรวบรวมความกล้าตอบกลับไปเสียงค่อนข้างจะสั่นไหว ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นรู้ว่าเขากลัว นัยน์ตาคมเข้มถึงได้จุดประกายคล้ายจะพึงพอใจและชอบใจ
ฮึ! อดีตเขาเคยปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนปล่อยให้ชีวิตต้องพบกับจุดจบมาแล้ว หากครานี้...แม้เขาจะกลัวสักเพียงใด ก็จะตั้งหน้าสู้ มิยอมแพ้อีกแน่นอน
“แม้ว่าข้าสมควรจะมีทรัพย์สินติดกายไป แต่การเดินทางที่ยาวไกล โจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าเลยคิดว่า...ไม่ควรพาข้าวของอันใดติดกายไปด้วยจะดีกว่า” เผื่อว่าอยู่ที่นั่นแล้วมันเกิดเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง เขาจะได้หนีอย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องห่วงข้าวของนอกกายอย่างไรเล่า
“ข้าวของในส่วนของเจ้า ข้าให้คนจัดเตรียมให้แล้ว”
หือ...ข้ามองฮูหยินสี่อิงเหม่ยอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยังคิดว่าฟังผิดไปด้วยซ้ำ แต่พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงของสี่ซูเจียวแล้วก็เข้าใจ
“ขอบคุณขอรับฮูหยิน”
สี่หนิงเหอรีบโค้งคำนับเป็นการของคุณสี่ฮูหยินในความเมตตาปรานีที่นางมอบให้ ดูเหมือนว่านางอยากจะพูดอะไรกับเขาอยู่นะ แต่...ไม่ล่ะ เขาไม่อยากฟังท่านเอ่ยทวงบุญคุณที่จดจำไม่ได้ว่าท่านมี
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันได้แล้วใช่ไหม” อา...เขาลืมไปว่ายังไม่ได้ถามเสี่ยวฝานเลยนี่นา ข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ครบถ้วนหรือไม่ หากมิครบจะได้แอบหาซื้อระหว่างการเดินทาง...ถ้าทำได้อะนะ
“เจ้าจะกล่าวสิ่งใดกับสี่ฮูหยินก่อนเดินทางหรือไม่”
สี่หนิงเหอฉีกยิ้มจนปากกว้าง หากนัยน์ตากลับเฉยชาขณะทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น “ข้าน้อยสี่หนิงเหอ ขอขอบพระคุณฮูหยินและคุณหนูใหญ่ที่ให้การดูแลมาตลอดหลายปี ข้ามิมีอันใดจะตอบแทนท่านทั้งสอง คงทำได้เพียงแค่...” เขารีบโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง “คำนับท่านเป็นการขอบคุณที่ช่วยอบรบมเลี้ยงดูให้การศึกษาเป็นอย่างดีขอรับ”
