บทที่ 7 chapter 7

เขาเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่เขาตัดทางของนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้สี่หนิงเหอผู้นี้ต้องไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้น เขามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งเขา...มิยอมหรอก ส่งไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากเขาอีกนะเหรอ อันนี้ยอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ!

หือ...ทำไมเขาถึงคิดว่า...ได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากบุรุษผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใด แต่...ไม่ล่ะ เขาขี้เกียจรู้และอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย บอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายให้เร็วที่สุด

“ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”

อา...ใช่ สี่หนิงเหอแอบอมยิ้ม ด้วยเขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่เขาสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้องเก่งที่สุด เพื่อจะได้ปกป้องตนเองมิให้ได้รับอันตรายไง...เขาคิดถูกใช่ไหมล่ะ

สี่หนิงเหอรู้ว่าเสี่ยวฝานมิใช่คนไม่รับผิดชอบ หากแต่มันมีคนคอยกลั่นแกล้งไง ของมักหายไปอย่างไร้ร่องรอยและหาคนทำมิได้ เขาเลยรีบเดินไปหาเสี่ยวฝานเพื่อไต่ถาม หากก็ยังไม่ทันจะได้ทำก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะท่านหัวหน้าองครักษ์จับแขนเขาแล้วลาก...ใช่แล้วล่ะ ลากให้เดินตามไปโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะเดินตามมิทัน

“เดี๋ยวสิท่าน” สี่หนิงเหอประท้วง แต่ท่านหัวหน้าองครักษ์ก็ยังคงมิฟัง ยังคงลากให้เขาเดินตามไปอย่างรวดเร็วโดยมิสนใจว่าเขาจะเดินตามไปทันหรือไม่

“สายแล้ว เราต้องรีบเดินทาง”

“ก็ใช่ไง ข้ารู้ แต่ข้า...” สี่หนิงเหอยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็ต้องหยุดยืนตัวแข็งทื่อ เพราะเมื่อผ่านประตูเข้าเรือนออกไปก็ได้เห็นว่าตรงหน้ามีม้าสีดำตัวใหญ่ที่เมื่อนับรวมก็เท่ากับคนในชุดสีดำพอดี

แปลกจัง! เท่าที่เขาจดจำได้ เขาต้องเดินทางด้วยรถม้าขนาดสามคนนั่ง แต่เหลียวมองไปจนทั่วแล้วก็มิเห็นเลย

ไหนรถม้าที่มารับเขาล่ะ?

อยากบอกนะว่าจะให้เขาขี่ม้าไป...ก็เขาเคยขี่ม้าเสียที่ไหนกันเล่า หากสี่หนิงเหอก็ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สองเอวก็ถูกท่านหัวหน้าองครักษ์ที่เขามิคิดจะถามชื่อแซ่จับเอาไว้แล้วยกขึ้นไปนั่งและท่านหัวหน้าองครักษ์ก็รีบกระโดดตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสี่ยวฝานเองก็นั่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างอยู่กับหนึ่งในองครักษ์เช่นกัน

“ท่าน!” สี่หนิงเหอได้แต่หลับตาปี๋ ส่งเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัวขณะจับแผงคอม้าเอาไว้แน่นเพราะกลัวจะตกลงไป

“ข้าวของที่สี่ฮูหยินเตรียมไว้ให้เจ้า ข้าให้คนขนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว...ไป!”

‘ท่านพูดอันใดข้ามิรู้ความ...ข้าแค่อยากจะบอกท่านเพียงแค่ว่า ข้ากลัว!!!’

หากสิ่งที่สี่หนิงเหอทำได้ก็คือ...กอดแผงคอม้าเอาไว้แน่น หลังตาเพราะมิกล้าที่จะมองสิ่งใด หากหูก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวที่ดังมา

ฮื่อ...เขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่!

นับตั้งแต่ย้อนกลับมาเพื่อแก้ไขจุดจบของตัวเอง! เขาก็ไม่ควรสงสัยแล้วว่าทำไมหลายเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาคุ้นเคยมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไป ก็คิดได้ว่าการที่เขาย้อนกลับมาก็ย่อมทำให้เรื่องราวมันเปลี่ยนแปลงไปมิน้อย แต่เขาก็รู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่มันยังคงดำเดินไปเฉกเช่นเดิม ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมรับมืออย่างมีสติ

รอดตายแล้วเรา! สี่หนิงเหอหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกว่ารอบกายเงียบสนิท ไร้การเคลื่อนไหว เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตอนนี้อยู่ในป่ากว้าง ส่วนผู้ที่จับตัวเขาขึ้นม้าโดยมิให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนเดินไปสั่งความบางอย่างกับลูกน้องอยู่

ทำไมถึงไม่ยอมบอกและพาเขาลงจากม้าด้วย...

“คุณชายหิวไหมขอรับ” เสี่ยวฝานรีบเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้เขาที่นั่งหมดแรงเองหลังอิงกับต้นไม้ใหญ่

“บ่าวได้เนื้อแห้งกับหมั่นโถวมาเล็กน้อย”

เสี่ยวฝานยื่นของที่บอกมาตรงหน้าเขาและเขาก็รีบรับมันไว้ แต่ถึงจะหิวมากเพียงใด เขากลับทานอะไรไม่ลง เพราะการขี่ม้าทำให้เหนื่อย ล้าและเจ็บเสียจนแทบจะไม่มีแรงจะทำสิ่งใดแล้ว หากสี่หนิงเหอรู้ว่าจะทำตัวเป็นคนอ่อนแอมิได้ เขาต้องมีแรงและตื่นตัวอยู่เสมอ ต้องทานอะไรให้ร่างกายมีแรง เพราะหากคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น จะได้พาเสี่ยวฝานหนีได้ทัน ทำไมถึงได้คิดเยี่ยงนี้นะรึ...ก็นี่เป็นป่าไงล่ะ ป่าย่อมไม่ปลอดภัย ยิ่งป่าที่ไร้เสียงสัตว์ร้องก็จะยิ่งไม่ปลอดภัยนะสิ!

“เจ้าก็ทานด้วยนะเสี่ยวฝาน เราต้องอิ่ม จะได้มีแรง” หากเกิดสิ่งใดขึ้นเราจะได้รีบหนีกันได้ทัน

“ขอรับคุณชาย”

“ต่อไปเจ้ามิต้องเรียกข้าว่าคุณชายแล้วนะเสี่ยวฝาน ให้เรียกข้าว่าหนิงเกอ”

“คะ...คุณชาย” เสี่ยวฝานร้องอย่างตกใจและมองหน้าเขาอย่างตะลึงงัน

“มารดาข้าก็ด่วนจากไป มีบิดาก็เหมือนไม่มี ปีทั้งปีแทบมิเคยเห็นหน้า ถึงตอนนี้ข้าจำมิได้เลยว่าท่านพ่อหน้าตาเป็นอย่างไร เดินทางในครั้งนี้ข้าก็มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ยินดีมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะดีร้ายเพียงใด ข้ามิอยากอยู่อย่างเงียบเหงาเพียงลำพัง...หรือเจ้ามิยินดีที่จะรับข้าเป็นหนิงเกอ” สี่หนิงเหอรีบไถ่ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ

“มิใช่ขอรับ...มิได้เป็นเช่นนั้น เอ้ย! หนิงเกอ ข้า...ข้าดีใจขอรับ มิคิดว่าจะได้รับความรักและเอ็นดูจากหนิงเกอเช่นนี้”

เสี่ยวฝานเอ่ยไปพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่รินไหลไปพลาง ใบหน้านั้นแม้จะมอมแมมหากมีรอยยิ้มด้วยความยินดีปรีดามันทำให้เขาอิ่มใจจนเผลอยิ้มตาม

อดีตที่เขาจำได้อย่างชัดเจนคือตอนที่เขากำลังจะหมดลมหายใจ ร่างเล็กผอมบางนอนอยู่บนเตียงแสนเก่าที่ทรุดโทรมอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ในวันนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เขามีน้องชายแล้วและที่สำคัญคือ...เขาจะไม่ตายด้วย!

“จริงสิเสี่ยวฝาน ของที่เราจัดเตรียมกันไว้ เจ้าได้เอามาหรือเปล่า”

“ข้า...ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานบอกเสี่ยงสั่น “ข้าพยายามแล้ว แต่คนพวกนั้น...”

“ไม่ต้องโทษตัวเองนะเสี่ยวฝาน เจ้าทำดีที่สุดแล้ว เป็นความผิดของคนพวกนั้นที่คอยแต่จะทำร้ายข้ากับเจ้า” สี่หนิงเหอตบบ่าเสี่ยวฝานเบา ๆ ด้วยคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ คงมิมีสิ่งใดง่ายดายเป็นแน่ แต่ได้ยินเช่นนี้มันก็...อดที่จะโมโหมิได้ ตอนแรกเขาคิดไว้ว่าจะหาซื้อข้าวของที่จำเป็นระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ย่อมเป็นไปมิได้ เขาควรที่จะต้องคิดหาหนทางอื่น

บทก่อนหน้า
บทถัดไป