บทที่ 8 chapter 8

“เอาไว้เราไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่นแล้วกัน” สี่หนิงเหอบอกกับเสี่ยวฝานที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนเขาต้องรีบยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“ไม่ขี้แยสิ เป็นน้องชายข้า ต้องเข้มแข็ง เข้าใจไหม”

“ขอครับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานพยักหน้ารับ ในดวงตาเหมือนกับนกน้อยที่หลงทางแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกับสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของ

“เจ้ามี...” หากสี่หนิงเหอยังพูดไม่ทันจะจบ หนึ่งในองครักษ์ก็นำกระบอกน้ำยื่นมาให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นมอง

“ข้าลืมไปว่าเดินทางมาไกล พวกเจ้าคงจะหิวและกระหาย นี่เป็นน้ำดื่ม ส่วนอาหาร...เจ้าจะไปทานไก่ย่างปลาย่างร่วมกับพวกข้าก็ได้นะ หรืออยากจะไปทำธุระส่วนตัวก็บอก”

“ข้านึกว่าพวกท่านจะไม่รับรู้ว่ามีพวกข้าสองคนมาด้วยเสียอีก”

สี่หนิงเหอหลุดปากประชดออกไป เพราะคนเหล่านี้เดินทางโดยไม่คิดสนใจคนร่วมทางเช่นเขากับเสี่ยวฝานเลยว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่คิดจะถามสักคำว่าเขาสองคนหิวหรือเปล่า เดินทางตั้งแต่ก่อนสายจวบจนพลบค่ำถึงได้หยุดพัก...ในป่าที่มันช่างเงียบและวังเวง นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครองเขาไปเข้าพิธีมงคลละก็...สี่หนิงเหออดที่จะคิดมิได้ว่า คนเหล่านี้มารับไปฆ่าทิ้งกลางป่าเสียด้วยซ้ำ

“ท่านคงไม่มีปัญหาเรื่องที่พักใช่ไหมขอรับคุณชายหนิงเหอ”

คิ้วสี่หนิงเหอกระตุก คำถามเหมือนจะใส่ใจแต่ถ้าฟังให้ดี มันคือการประชดประชัน เมื่อก่อนเขาคงทำได้เพียงแค่หลบสายตาและโต้ตอบออกไปเพียงแค่ว่า... ‘ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายังไงก็ได้’ หากตอนนี้...ร้ายมาเขาร้ายตอบ ดีมาเขาก็จะดีตอบ

สี่หนิงเหอคลี่ยิ้มอย่างที่คิดว่ามันหวานที่สุด “ถ้าข้ามีปัญหา ท่านจะเปลี่ยนใจพาข้าไปพักที่โรงเตี้ยมหรือขอรับ หรือถ้าทำเช่นที่ข้ากล่าวมามิได้ ท่านจะสร้างกระโจมหลังใหญ่ หาผ้าปูเนื้อนุ่มมารองนอนให้ข้าหรือขอรับ”

สี่หนิงเหอตวัดสายตาเกรี้ยวกราดไปยังบุรุษอีกสี่คนที่นั่งทานไก่กันอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่คิดจะเอ่ยปากชวนเขากับเสี่ยวฝานและยังจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วย

“ถึงข้าจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด และดูแล้วพวกท่านก็คงจะไม่พึงพอใจในตัวข้าสักเท่าใด แต่อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเป็นว่าที่อนุภรรยานายของพวกท่าน...มีอะไรเสี่ยวฝาน” สี่หนิงเหอพูดไม่ทันจะจบก็ถูกเสี่ยวฝานจับมือและกระตุกถี่รัว อา...ขี้กลัวจริง ๆ น้องชายของเขาเนี่ย

“ฟังข้านะเสี่ยวฝาน เราคิดว่าการไม่สู้รบตบมือกับใคร เขาอยากทำอะไรก็ทำ จะทำให้เราอยู่อย่างสงบได้ แต่เจ้าก็เห็นแล้ว ยิ่งเราไม่สู้ คนพวกนั้นก็ยิ่งรังแกเรา ตอนนี้เจ้าควรจะทำตัวเสียใหม่ กล้าที่จะบอกกับเขาไปว่า...เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เข้าใจหรือเปล่า” เขามิได้สั่งสอนเสี่ยวฝานหรอกนะ แต่กำลังบอกใบให้องครักษ์ที่มาด้วยรู้ว่า เขาจะมิทำตัวอ่อนแอให้ถูกรังแกได้ง่าย ๆ อย่างที่คิดหรอกนะ ถึงจะไร้วรยุทธ์แต่เขาก็มีสองมือสองเท้า ที่ยังไงก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้แล้วกัน

“เจ้าช่างเป็นคนที่พวกข้าคาดไม่ถึงจริง ๆ ”

“คาดไม่ถึง สายรัดเอวท่านสั้นรึ” สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางเอียงหน้าอีกนิดขณะมองไปยังองครักษ์ที่เมื่อสิ้นคำพูดเขาเข้า ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันและยังเอ่ยตามมาอีกว่า...

“ช่างเป็นบุรุษน้อยที่น่าสนใจยิ่งนัก”

เขาชักจะโมโหคนพวกนี้แล้วนะ ทำไมถึงได้ชอบยั่วโทสะกันนัก หากเขาก็ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใด ก็รับรู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทำไมถึงได้คิดเช่นนี้นะหรือ ก็เป็นเพราะเหล่าองครักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าของเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนมองมิทันนะสิ!

“รีบหนีเร็วเสี่ยวฝาน” สี่หนิงเหอตะโกนบอกเสี่ยวฝานเมื่อรู้ว่าตอนนี้เกิดมิดีขึ้น หากเขายังไม่ทันจะเคลื่อนไหวก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงมาหา จะให้หลบก็คงไม่ทันแล้ว สี่หนิงเหอคงทำได้เพียงแค่ยกสองมือปกปิดใบหน้าที่ก้มลงแนบกับอก หากทุกอย่างกลับเงียบกริบจนแม้กระทั่งเสียงลมก็ไม่มี ก่อนเขาจะได้ยินเสียงร้องดังขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น หากเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าลูกธนูที่พุ่งตรงมาหาเขานั้นถูกใครบางคน...ท่านองครักษ์หน้ากากเงินจับเอาไว้แล้ว

โอ้...ท่านเก่งมาก เก่งสุดยอดเลย หากนี่มิใช่เวลาที่เขาจะมาชื่นชมองครักษ์ตรงหน้านี่น่า เขาควรใช้โอกาสนี้รีบหนีให้เร็วที่สุดต่างหากเล่า แต่...จากที่เมื่อครู่มันเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ตอนนี้บนปลายยอดไม้กลับมีเสียงดังหวีดหวิว สองในห้าขององครักษ์มายืนเคียงเขาและเสี่ยวฝานที่นอกจากความกลัวแล้วก็ยังมีความงุนงงอยู่ด้วย

“เกิดอะไรขึ้นขอรับหนิงเกอ”

“ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวฝาน โจรแค่ปล้น...” สี่หนิงเหอหุบปากทันทีเมื่อคิดว่านี่ไม่ใช่เหตุที่เขาเคยพานพบมาก่อน นี่ไม่ใช่โจรปล้น เพราะถ้าปล้นจริงมันก็ควรจะมีกลุ่มคนปิดหน้าหลายคนมายืนห้อมล้อมพวกเราและเอาดาบชี้หน้าเขา พร้อมกับกล่าวว่า...

‘พวกเจ้าส่งทรัพย์สินมีค่ามาให้ แล้วพวกข้าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ แก่พวกเจ้า’

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ...ไม่มีใครมาห้อมล้อมพวกเราเลย! ยกเว้นก็เพียงแค่ลูกธนูหนึ่งดอกและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายที่มารายล้อมเหมือนจะป้องกันภัยให้เขา นี่มันแปลกเกินไปแล้ว...องครักษ์พวกนี้จะต้องปล่อยให้เขาดิ้นรนหนีเอาตัวรอดด้วยตนเองสิ แต่ทำไมถึงได้ปกป้องเขาล่ะ...คงจะต้องมีสิ่งใดผิดพลาดไปแน่ ๆ

ข้าขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางขบกัดฟันบนกลีบปากกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหมหนิงเหอ”

เมื่อองครักษ์หน้ากากเงินเอ่ยถาม สี่หนิงเหอก็รีบเหลียวมองไปอย่างเร็ว หือ...ท่านผู้นี้มายืนอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วน้องชายเขาล่ะ อา...เสี่ยวฝานไปยืนอยู่กับท่านองครักษ์อีกคนแล้ว ช่างทำงานกันรวดเร็วเหลือเกิน แต่ฝีมือขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ล่วงรู้ว่ามีคนหลบซ่อนตัวอยู่ นอกเสียจาก...

พวกเจ้านี่มัน...! ร้ายกว่าคนที่เรือนตระกูลสี่เสียอีก ฮึ! คอยดูนะ ถ้าหากเขารอดไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย...ในสภาพเช่นไรก็ตามแต่ เขาจะทำให้พวกเจ้าต้องสำนึกผิดที่ทำเช่นนี้กับเขาไม่ทันเชียวล่ะ

“ถ้าเป็นก็คงจะไม่ได้ยืนฟังท่านไต่ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้หรอกขอรับ” อา...สี่หนิงเหออยากจะตบปากตัวเองนัก อยู่ดีไม่ว่าดีไปปากเสียใส่บุรุษผู้สวมหน้ากากเสียได้ แต่เกิดเรื่องแบบนี้แล้วมันอดไม่ได้เสียจริง

“ไม่กลัว” หนึ่งในสามคนที่ยังยืนคุมเชิงอยู่ไต่ถามขึ้น

บทก่อนหน้า
บทถัดไป