บทที่ 9 chapter 9
“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” สี่หนิงเหอถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...เขามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้เขารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ อะไรหรือสิ่งใดที่ควรจะต้องทำและที่เขาทำได้ เขาจะทำมันให้ทุกอย่างเลย
“แต่เจ้าก็ยังปากดี”
“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”
มันเหมือนกับเขาโดนตบปาก เพราะตอนนี้ตัวเขามิได้มีดีอันใดเลยจริง ๆ สี่หนิงเหอก็เลยได้แต่เจ็บใจ
“ถึงข้าจะปากเสีย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใจดำเหมือนพวกท่าน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ บอกว่ามาเป็นองครักษ์ปกป้องคุ้มครองข้า แต่ความจริงแล้วพวกท่านใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อพวกนั้นต่างหากเล่า”
ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากใครบางคน ก็ทำให้สี่หนิงเหอยิ่งเจ็บใจและมีโทสะมากขึ้น คอยดูนะ เขาจะต้องเอาคืนคนพวกนี้ให้จงได้!
“แล้วถ้าหากพวกข้าทำอย่างที่ท่านกล่าวมาจริง...ท่านจะทำอันใดพวกข้าหรือหนิงเกอ”
“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องนายพวกเจ้า”
เจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ท่านคิดว่า ระหว่างพวกข้าที่อยู่กับนายท่านมานาน กับท่านที่เป็นเพียงแค่อนุภรรยาผู้ต่ำต้อย ผู้ซึ่งนายท่านของข้ามิได้ปรารถนาจะเข้าพิธีมงคลด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วนายท่านควรจะเป็นผู้มารับท่านด้วยตนเอง แต่นายท่านของข้ายังคงให้พวกข้าซึ่งเป็นเพียงแค่ลูกน้องชั้นปลายแถวมารับด้วยซ้ำ นายท่านของข้าจะเชื่อใครกัน”
สี่หนิงเหอได้แต่ข่มกัดฟันกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้! โว้ย! เจ็บใจจริง
“ข้ารู้ว่าข้าประเมินฐานะของตัวเองสูงไปเสียจริง ๆ นั่นแหละ” สี่หนิงเหอพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด เพราะถ้าบุรุษผู้นั้นไม่สนใจเขาจริง หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ที่นั้นแล้ว เขาจะทำอันใดก็ล้วนแล้วแต่รอดหูรอดตาบุรุษผู้นั้นไปได้ จวบจนเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการพร้อมพรัน เขาก็จะได้ตีปีกบินเช่นนกน้อยที่หลุดออกจากกรงทอง ได้ท่องเที่ยวไปอย่างอิสรเสรีดั่งใจต้องการ เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็หวังว่านายท่านของพวกท่านจะไม่สนใจข้าให้ตลอดรอดฝั่งนะ”
ระหว่างที่สี่หนิงเหอโต้ตอบกับเจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้า ดูเหมือนว่าองครักษ์สองคนที่หายไปกลับมาแล้ว พวกเขามองหน้ากัน...สื่อกันด้วยสายตา ก่อนที่ความเคร่งเครียดที่มีจะจางหายไป พวกเขาก็ไปนั่งล้อมวงเพื่อทานไก่ย่างและปลาย่างเช่นเดิม ปล่อยให้เขายืนงงอยู่เพียงลำพัง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่เสี่ยวฝานจับมือและยื่นกล่องไม้ที่หลุดไปจากตัวเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ได้มาให้
“ท่านเป็นเช่นใดบ้างขอรับหนิงเกอ”
“ข้ามิเป็นอันใด แล้วเจ้าล่ะเสี่ยวฝาน บาดเจ็บหรือไม่”
“ข้าก็มิเป็นอันใดขอรับหนิงเกอ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” สี่หนิงเหอตบบ่าเสี่ยวฝานเบา ๆ “เราไปนั่งใกล้กับกองไฟกันดีกว่า” ถึงจะมิอยากร่วมวงเสวนากับพวกคนใจร้ายใจดำเหล่านี้ แต่ให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนย่อมเป็นการดี ถ้าหากเกิดอันใดขึ้นอีกครั้ง จะได้มีคนเอาตัวเองมารับคมหอกคมดาบแทน เพราะสี่หนิงเหอเชื่อว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งเดียวแน่นอน
ในเมื่อคิดจะใช้เขาเป็นเหยื่อ มันก็ต้องคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีหน่อย ใช่ไหมล่ะ!
เมื่อยังมิกล้านอนหลับ ด้วยกลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง สี่หนิงเหอก็เลยหยิบกล่องสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้มาดูอย่างค่อนข้างแปลกใจ...
เหมือนว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกไป สี่หนิงเหอเลยลองส่องกับแสงจากกองไฟ เงาที่สะท้อนออกมาคล้ายกับเป็นรูปอะไรสักอย่างที่เหมือนจะคุ้นเคย เหมือนกับเคยเห็นมาก่อน หากเมื่อพยายามขบคิด กลับรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะศีรษะที่เหมือนกับถูกความเจ็บปวดอย่างแรงตอกย้ำ เจ็บจนน้ำตาหยดไหลออกมา มือเขาก็สั่นจนเกือบจะปล่อยกล่องให้หล่นลงไปในกองไฟ เขาเลยต้องหยุดคิดด้วยความหงุดหงิดใจ
“ทำไมถึงยังไม่นอน ไม่เหนื่อย”
คนที่สี่หนิงเหอรับรู้ว่าแอบมองอยู่หลายครั้งเอ่ยถามขึ้น
“ไม่คุ้นชิน...ไม่สบาย เลยนอนไม่หลับ”
อ้าว...ประชดเขาอีก สี่หนิงเหอเลยอย่างที่คิดว่ามันหวานที่สุดให้กับคนตรงหน้า
“เปล่าหรอกขอรับท่านหัวหน้าองครักษ์ เป็นเพราะข้ากลัวว่าหากนอนหลับไปแล้วจะไม่ได้ตื่นมาสนทนาอย่างสนุกสนานกับท่านนะขอรับ”
คนตรงหน้าสี่หนิงเหอเงียบไปครู่ใหญ่เชียวล่ะ เหมือนกับว่า...ตกใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนจะหลุดพูดออกมาอย่างเผลอไผล
“เรียกข้าว่าซานเกอ”
สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะส่ายศีรษะปฏิเสธ “คงต้องขออภัยท่านหัวหน้าองครักษ์ด้วยนะขอรับ ตัวข้าเป็นผู้น้อยต้อยต่ำ ถึงจะมีตำแหน่งเป็นว่าที่อนุภรรยาของท่านอ๋อง แต่ท่านก็เป็นคนกล่าวกับข้าเองว่าท่านอ๋องมิปรารถนาจะได้ตัวข้าน้อยไปเป็นอนุภรรยา ข้าจึงมิบังอาจนับเรียกท่านเป็นพี่ชายได้หรอกขอรับ”
“ซานเกอ”
“ท่านหัวหน้าองครักษ์”
“ซาน...เกอ...”
ข้าไม่เรียก! แต่ก็ถูกสายตาที่เข้มดุและแข็งกร้าวกดดัน ชิ...ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย “ถ้าข้าเรียกอย่างที่ท่านต้องการแล้ว เช่นนั้นแล้วข้าก็หวังว่าซานเกอจะคอยดูแลข้าและน้องชายเป็นอย่างดี มิให้ผู้ใดมาทำร้ายทำอันตรายได้ อ๋อ...ต้องให้กินอิ่มด้วยนะขอรับ” ตกเอาไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะเอาซานเกอนี่แหละ...เป็นไม้กันสุนัข!
“ได้ข่าว เจ้าป่วย”
“ข้าก็ป่วยเป็นปกติอยู่แล้วนั่นแหละ” สี่หนิงเหอตอบอย่างขอไปที ถึงจะไม่ชอบในสิ่งที่คนเรือนนั้นทำกับตนเอง แต่อย่างน้อยคนที่เรือนตระกูลสี่ก็เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ให้ข้าวให้น้ำแก่เขา มิสมควรที่เขาจะกระทำเนรคุณต่อคนที่เรือนตระกูลสี่มากจนเกินไปนัก ทำเพียงแค่ไม่ให้พวกนั้นสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาบ้างก็พอแล้วล่ะ
“ข้ามิได้อยากจะละลาบละล้วง แต่ในเมื่อมันเกี่ยวเนื่องกับข้า ท่านช่วยบอกได้หรือไม่ซานเกอ คนที่ลอบทำร้ายข้าเมื่อครู่เป็นผู้ใด” ความในเรือนตระกูลสี่จะดีร้ายเพียงใด เขาก็มิสมควรนำออกมาเอ่ยให้ผู้ใดนอกเรือนฟัง
สี่หนิงเหอรอฟังคำตอบ หากสิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเงียบงันเสียนี่ “ข้าควรรู้ไว้บ้างหรือไม่ หากเกิดอันใดขึ้น ข้าจะได้ระวังตัวมิให้ตกเป็นเหยื่อ ทำให้พวกท่านลำบาก” หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดอันใดไป ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ เหล่าคนพวกนี้ก็มิคิดจะสนใจ หวังเพียงแค่จับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นใจวนและ…คนที่คงจะเกี่ยวเนื่องกับการตายของสี่หนิงเหอในครั้งนั้นด้วยสินะ
อา...รู้เช่นนี้แล้วช่างเจ็บปวดใจดีจัง!
แต่เอาเถอะ...รู้เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้สงบปากสงบคำและจะเจียมตัวด้วย…ถ้าหากว่าเขาทำได้นะ
