บทที่ 1 แนะนำตัว
ท่วงท่าสง่างามดุจนางหงส์ร่ายรำบนฟากฟ้า แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพแกร่งกล้าไปต่างจากพญามังกร จิวซิน (โชคชะตาและความรัก) เงื้อฝ่ามือปะทะฝ่ามือของชงไฉ่ (สีสันของความฉลาด) เต็มแรง อีกฝ่ายหาได้สะทกสะท้านไม่กลับพลิกตัวกอดรัด ไว้ในอ้อมแขนจิวซิน ดิ้นรนพลิกตัวหลบหลีกการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ผลัดกันรับผลัดกันรุกยุติลง หากแต่จิวซินกลับชักกระบี่คมกริบ ออกจากฝักรวดเร็วปานสายฟ้า ตวัดเพียงหนึ่งก็จ่อที่คอหอยของชงไฉ่อย่างไร้ปรานี ใบหน้าสวยในอาภรณ์ของบุรุษ ไม่อาจเพลี่ยงพล้ำแก่ผู้ใด จิ่นฉิน (พิณอันแน่วแน่) องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นกอดอก เมื่อเห็นจิวซินนายหญิงในอาภรณ์ชาย เหนือกว่าในการต่อสู้กับองค์ชาย 12องค์รัชทายาทของ ไห่ตงหยวน
“ใจคอเจ้ามิไยจะ เสียบคมกระบี่ลงบนลำคอข้าจริงหรือ”
“ท่านก็รู้แม้ข้าจะอยากส่งมันเข้าสู่เนื้อหนังของท่านเพียงใดก็ไม่อาจถึงจะอยากเพียงใดก็เถอะ เนื่องด้วยท่านเป็นถึงผู้สืบทอดราชบัลลังก์” ชงไฉ่ยิ้มอย่างมีชัย
“เจ้ามีใจปฏิพัทธ์ ต่อไห่ตงหยวนเช่นนั้นเลยหรือเจ้าเฉลยน้อย”
เสียงปรบมือดังลั่นมาแต่ไกลพร้อมเสียงหัวเราะลั่น จิวซินดึงกระบี่กลับประสานมือถวายความเคารพฮ่องเต้
“เจ้าสิบสอง เจ้านี่ช่างอ่อนหัดนัก คงต้องหมั่นฝึกปรือฝีมือจะได้ทัดเทียมองค์ชายใหญ่จิ่นเกอจากเหอตงหยวน”
ชงไฉ่ชักระบี่รวดเร็วปานสายฟ้าเมื่อลำคอเป็นอิสระตวัดเกี่ยว ชายผ้าสีดำที่ปิดบังใบหน้าของจิวซินขาดเป็นสองส่วน ปลายกระบี่บางเบาแต่คมดั่งมีดโกนเฉียดแก้มเนียนเผยให้เห็นหยดเลือดสีแดง ดวงตาคมเบิกโพลงเมื่อพบกับใบหน้าสวยหวานราวกับอิสตรี แต่ทว่าสายตาคมเยี่ยงบุรุษ จิ่นฉินกำกระบี่แน่นแต่ไม่กล้ากระทำการใด
กระบี่ในมือของชงไฉ่ชะงักทันที
“เจ้าสิบสองคงจะเสียหน้ามิใช่น้อยที่เพลี่ยงพล้ำ แต่สมควรที่จะให้เกียรติองค์ชายใหญ่บ้างแม้เขาจะต้องมาเป็นน้องเขยเจ้าก็ตาม”
องค์ชายสิบสองลดกระบี่ลงข้างลำตัวใบหน้ามีแววฉงน ประสานมือตรงหน้า
“ลูกชงไฉ่ถวายพระพรเสด็จพ่อ มิมีเสียหน้า แต่ประการใดการต่อสู้ย่อมมีเพลี่ยงพล้ำมิใช่ฝีมือหากแต่เป็นกระบวนท่าที่เลือกใช้ เพราะประเมินองค์ชายใหญ่ต่ำไป เพียงแต่ลูกใช้กระบวนท่าที่ด้อยกว่าเขาไปหน่อยยังมีโอกาสอีกมากในเมื่ออย่างไรเสียเขาต้องมาอาศัยตงไห่หยวนของเราอีกนาน”
เสียงหัวเราะดังก้องด้วยความชอบใจคำพูดของลูกชายที่หมายมั่นให้สืบทอดบัลลังก์
“องค์ชายใหญ่อย่าได้ถือสา การเดินทางราบรื่นดีใช่หรือไม่”
หันมาทางจิวซินที่สารวนอยู่กับการเช็ดรอยเลือดบนแก้มเนียน
“มิมีเรื่องขัดข้องอันใดฝ่าบาท “
“ดี อย่างนั้นเจ้าไปพักเสียเถิดเด็กๆ เชิญองค์ชายใหญ่ยังตำหนัก บูรพาที่จัดเตรียมไว้”
ไม่รอช้าจิวซินออกเดินจากไปทันที หางตามิวายชายไปสบเข้ากับแววเยาะหยันขององค์ชายสิบสอง จิวซินกำมือจิกเข้าไปในอุ้งมือจนรู้สึกเจ็บ
“เห็นไหมเล่า อย่างนี้นี่เองพี่ใหญ่ถึงยอมขัดบัญชาไม่ยอมมาเป็นราชบุตรเขยของไห่ตงหยวน ใช่ไหม จิ่นฉิน”
ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับองครักษ์หนุ่ม จิ่นฉินยังคงเงียบงัน
“ใช่หรือไม่จิ่นฉิน” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดจิ่นฉินยิ้ม
“เป็นเช่นนั้นนายท่าน”
ตอบอย่างจะเอาใจเสียมากกว่าจิวซินจับน้ำเสียงได้
“เจ้าไม่เข้าข้างข้า ข้าให้หมิงหลิน ตอบข้าดีกว่า”
หันไปทางสาวใช้ที่เดินอยู่เบื้องหลัง
“ค่ะคุณหนูคุณหนูว่าอย่างไรหมิงหลินก็มิอาจคิดเป็นอื่น”
จิ่งซินยิ้มอย่างมีชัย
“เจ้านี่ช่างดีจริงๆ หมิงหลินไม่เหมือนจิ่นฉินที่เมินเฉยต่อข้า” น้ำเสียงตัดพ้อจิ่นฉินยังยิ้ม
“องค์หญิงพบพวกเขาเพียงครู่ก็ตัดสินพวกเขาเสียแล้ว มิโหดร้ายไปหน่อยหรือ”
“ฮึข้าไม่สน อีกอย่างบอกแล้วอย่างไรล่ะว่าห้ามเรียกข้าว่าองค์หญิง”
หมิงหลินหัวเราะคิกคักจิ่นฉินทำหน้าเหลอหลา
“เข้าใจแล้ว...องค์ชาย”
น้ำเสียงค่อนข้างขัดหูด้วยความกระดากปาก จิวชินยิ้มอย่างสมใจ
“เสด็จพ่อ ทรงวางใจ ในว่าที่ราชบุตรเขยถึงเพียงนั้น ทำให้ข้าซึ่งเป็นลูกแท้แท้คลางแคลงใจ ราชบุตรเขยแต่ให้พำนักที่ตำหนักบุรพาที่แม้แต่ข้ายังไม่เคยได้เข้าไปที่นั่นเสด็จพ่อมักจะอ้างว่ามันยังไม่ได้ทำการบูรณะ”
ชงไฉ่ปรับทุกข์กับ ขันทีคนสนิท
“ปกติแล้วราชบุตรเขยจะต้องห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับราชบัลลังก์”
“แต่เสด็จพ่อมององค์ชายใหญ่ผู้นี้เช่นไรข้าไม่อาจคาดเดา”
“องค์รัชทายาทอย่าทรงเป็นกังวล ข้าน้อยชิงซารับอาสากำจัดเสี้ยนหนามให้เอง”
ชงไฉ่นึกทบทวนสิ่งที่ต้องการในใจว่าต้องการอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่อย่างไรเสียเสี้ยนหนามก็มิอาจกลายเป็นฟูกนอน
“ดี ต้องรบกวนเจ้าแล้วไว้มาคอยรายงานความคืบหน้าให้ข้าได้รับรู้”
ขันทีคู่ใจยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เรื่องแผนการขอให้ไว้ใจเขาเถิดรับรองว่าไม่ว่าใครฉลาดเพียงใดก็คาดไม่ถึง
ภายในตำหนักใหญ่บูรพาที่โอ่โถงนั้น จิวซินเปลื้องผ้าเนื้อตัวซ้ำเขียว หลายจุดด้วยผลจากการต่อสู้ หมิงหลินบรรจงนวดยาอย่างเบามือ
“องค์หญิงทรงซ้ำไปทั้งตัวเจ็บมากไหม เพคะ”



























