บทที่ 2 องค์หญิงสิบสี่
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ไม่ข้าชินแล้ว มันนานมากแล้วตั้งแต่จำความได้ ความเจ็บปวดมันหายไปเสียหมดตั้งแต่ท่านแม่ของข้าตายไป ข้าต้องอยู่อย่างเข้มแข็งใช่ไหม หมิงหลิน”
หมิงหลินแสนจะสงสารนายหญิง
“ยาดี ของไห่ตงหยวน ไม่ช้าไม่นานองค์หญิงก็จะหายเจ็บปวด” จิวซินยิ้มทั้งทีในใจเจ็บซ้ำเหลือเกินแต่เมื่อนึกถึงฐานะของตัวเองขึ้นมาก็หยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น
“พอแล้ว”
ตวัดเสื้อคลุมกายเยี่ยงบุรุษ ด้วยการฝึกปรือให้ท่วงท่าไม่ต่างจากบุรุษ ผมยาวสลวยที่ถูกปล่อยให้ หล่นมาปิดบังใบหน้านั้นกลับส่งให้ใบหน้าดูสวยหวานไม่มีความเป็นชายซึ่งต่างจากอาภรณ์ที่สวมใส่และท่วงท่าเยี่ยงบุรุษนั้น
จิ่นฉิน เดินเข้ามาก้มหน้าลงใกล้ใกล้
“องค์ชาย องค์หญิง14เจียวซือพระคู่หมั้น ขอเข้าเฝ้าพระองค์” หมิงหลิน จัดแจงกับ ผมยาวสลวยไม่ให้ดูขัดตารวบจนตึงแน่นให้ดูราวกับบุรุษ
“เชิญนางเข้ามาได้” องค์หญิงสิบสี่เจียวซือ เยื้องย่างเหมือนกับถูกฝึกมาอย่างดี หากแต่แววตากับมีแววซุกซนขี้เล่น
“ถวายพระพรองค์ชายใหญ่”
แรกก้มหน้านิ่ง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาแววตาเหมือนจะยิ้มได้กับไหวระริก ด้วยใบหน้าหวานตามแบบของจิวซิน ทำให้นางประทับใจถึงสิบในสิบส่วนเลยทีเดียว เพียงครู่ก็เปลี่ยนเป็นเอียงอายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสักวันต้องได้ร่วมหอกับองค์ชายใหญ่ผู้หล่อเหลาคนนี้ จิวซินเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ วางท่าให้สง่างามกว่าเดิม ทำเอาองค์หญิงสิบสี่ยิ่งเพ้อฝันตามแบบของหญิงสาว
“มีเหตุอันใดเจ้าถึงมาเยือนตำหนักบูรพา ในเมื่อไม่ช้าไม่นานข้ากับเจ้าก็จะ...” คราวนี้เจียวซือยิ่งเขินอายยิ่งกว่าเดิม
“คือ... เสด็จพ่อให้ข้ามาถามองค์ชายใหญ่ ว่ามีสิ่งใดต้องการเปนพิเศษและมีสิ่งใดไม่เรียบร้อย” ก้มหน้าเขินอายแสร้งพูดไปเสียอีกทาง
“คือ... เสด็จพ่อให้ข้ามาถามองค์ชายใหญ่ ว่ามีสิ่งใดต้องการเป็นพิเศษและมีสิ่งใดไม่เรียบร้อย” ก้มหน้าเขินอายแสร้งพูดไปเสียอีกทาง
จิวซินโบกมือไล่ จิ่นฉินและหมิงหลินออกไปข้างนอก ก้าวเดินมาใกล้องค์หญิงสิบสี่ ยกมือบางขึ้นเชยคางมนขึ้นสบตามืออีกข้างไพล่หลังอย่างองอาจ
“เรียบร้อยทุกอย่างหากแต่ตำหนักบูรพาแห่งนี้มิมีหญิงงามเช่นเจ้ามาเคียงคู่” เจียวซือเอียงอายจนมือไม้ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน
“องค์ชายใหญ่” จิวซิน รวบร่างเล็กมากอดแนบอก
“ข้ารู้หากแต่ บุรุษเช่นข้าจะอดใจได้อย่างไรหากหญิงงามเยี่ยงเจ้า อยู่เบื้องหน้าอย่างนี้”
“เจ้าก็รู้ตามธรรมเนียมของไห่ตงหยวน หากยังมิได้เสกสมรส ก็ยังมิอาจแตะต้อง ล่วงเกินหรือเหอตงหยวนมิได้เคร่งครัด” องค์ชายสิบสองมาจากไหนจิวซินไม่ทันสังเกต
จิวซินเชิดหน้าทระนง
“มิใช่ เรามิเคร่งครัดหากแต่องค์หญิงสิบสี่นั้น อย่างไรเสียก็คงไม่พ้นเป็นชายาข้า ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวหรือเรื่องของคู่รัก ท่านแม้จะเป็นพี่ชายหากแต่ตามหลักแล้วก็คือคนนอก” ชงไฉ่มองจิวซินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจียวซือ กลับตำหนักเจ้าได้แล้ว”
องค์หญิง14 ทำท่าทางฮึดฮัดแบบขัดใจคว้าแขนน้องสาวเดินลิ่ว แต่ยังไม่ทันจะพ้นห้องร่างสูงปะทะเข้ากับร่างบางของหมิงหลินจนเซมือใหญ่คว้าเอวบางของหมิงหลินตาสบตา ใบหน้าหวานใสของหมิงหลินเป็นที่ถูกใจยิ่งนัก ชงไฉ่เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หญิงชาย หากมิได้ไหว้ฟ้าดินด้วยกันแล้วก็มิอาจถูกเนื้อต้องตัวเช่นเดียวกัน เหอตงหยวนเราเคร่งครัดยิ่งนัก”
จิวซินได้โอกาส องค์ชายสิบสองปล่อยมือจากเอวบางของหมิงหลิน จิวซินหัวเราะเสียงดังเยี่ยงบุรุษ
“เสด็จพ่อให้ตามเจ้า องค์ชายใหญ่ ไปคารวะอาจารย์แม้เจ้าจะมาอยู่ในฐานะ ราชบุตรเขยแต่เจ้าก็ต้องฝึกปรือวิชาต่างๆ ทั้งบุ๋นทั้งบู้เพื่อช่วยงานราชการของไห่ตงหยวน”
น้ำเสียงสะบัดเล็กน้อยด้วยความที่ถูกตามใจมาตลอด แต่กับมาเสียเหลี่ยมให้กับจิวซินใน ฐานะองค์ชายใหญ่
ชงไฉ่ก้าวยาวๆ จากไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จิวซินปิดปากหัวเราะคิกคัก
“ข้าจะตามไปในไม่ช้า” จิวซินตะโกนไล่หลัง
หมิงหลินมองตามร่างสูงอย่างมุ่งมาด จิวซินกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ ก้าวขาข้าม ประตูออกไปเปลี่ยนท่าทีเป็นองอาจ จิ่นฉินตามไปติดๆ
ลานธนู ที่พลุกพล่านไปด้วย เหล่าบุรุษที่มาทำการฝึกฝนวิชา การต่อสู้หรือที่เรียกว่าวิทยายุทธ์ จิวซินเดินด้วยท่าทีองอาจ
อาวุโสท่านหนึ่งนั่งอยู่อีกฟากของเป้าธนูมองดูเหล่าลูกศิษย์กำลังประลองความแม่น จิวซินขยับตัวเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงคุกเข่า ยกมือขึ้นประสานกัน
“ซือฟุ ข้าน้อยองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ คารวะท่าน” มือเหี่ยวยกขึ้นลูบคางที่เต็มไปด้วยเครายาวสีขาวใบหน้าพึงพอใจ
“องค์ชายใหญ่ช่างนอบน้อม สมดังเป็นชาวเหอตงหยวน ข้ายังมิได้รับปากว่าจะรับท่านเป็นศิษย์”
จิวซินยิ้มเพียงบางเบา ปล่อยให้รอยยิ้มจางหายไปเหมือนใบหลิวที่หลุดร่วงลงสู่พื้น



























