บทที่ 5 ชาสร่างเมา
“ชา สร่างเมามาแล้ว สูตรนี้เป็นสูตรเด็ดของท่านแม่ข้าทีเดียว เพียงไม่นานองค์ชายใหญ่จะสร่างเมา” จิ่นฉินรับชามาถือไว้ ค่อยๆตักชาป้อนใส่ริมฝีปากแดงระเรื่อหากจิวซินกับปัดป้อง
“ไม่น่าเชื่อแม้กระทั่งเมาไม่รู้สึกตัวยังมีพิษสงได้” ชงไฉ่อดไม่ได้ องค์ชายห้านั่งบนหัวนอนก่อนจะประคองจิวซินให้ลุกขึ้นนั่งแขนอีกข้างโอบเอวบางไว้แนบลำตัว เอื้อมมือไปตักชาจากมือจิ่นฉินบรรจงป้อนช้าๆ ชงไฉ่มองท่าทีของพี่ชายด้วยความคิดประหลาด ร่างบางหน้าสวยในอาภรณ์บุรุษ และความอ่อนโยนที่องค์ชายห้าปฏิบัติกับคนเมาในอ้อมแขนเหมือนกับการแสดงต่อคนรักก็ไม่ปาน
อาการหงุดหงิดบังเกิดขึ้นในจิตใจ ดื่มชาไปเพียงสองสามช้อนจิวซินสำลักชาส่งเสียงไอดิ้นรนโน้มตัวไปข้างหน้าองค์ชายห้าตกใจไม่น้อยคว้าหน้าอกของจิวซินเต็มมือความนุ่มละมุนมือสัมผัสแปลกประหลาดชายไร้คู่กับรู้สึกร้อนวูบวาบความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้าสู่หัวใจบุรุษไร้คู่ปล่อยมือทันควัน จิ่นฉินจับสังเกตมองเห็นความผิดปกติจากอาการสะดุ้งขององค์ชายห้า องค์ชายห้าใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่ไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใดลุกขึ้นยืนปล่อยให้จิวซินลงไปนอนอยู่บนแท่นตามเดิม
“สักพักนายของเจ้าจะสร่าง ระหว่างนี้ข้าให้สาวใช้นำผ้ามาเช็ดหน้าให้เขาข้าขอตัว” หันหน้าหนีด้วยอาการผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ชงไฉ่สงสัยมองตามอ๋องห้าแต่ก็ยังไม่รู้สาเหตุ อดไม่ได้ที่จะลุกตามไป
“พี่ห้าท่านเป็นอะไรไป”
อ๋องห้ามองหน้าน้องต่างมารดาด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเขากับองค์รัชทายาทไม่เคยมีเรื่องใดที่บอกกล่าวกันไม่ได้ คราวนี้เสียละมั้งที่เขาต้องปิดไว้เป็นความลับหากยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ ด้วยรู้นิสัยขององค์ชายสิบสองดีว่าเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นขนาดไหนหากเรื่องนี้ทำเขาสงสัยเขาต้องหาทาง ค้นหาความจริงให้จนได้
“นั่งลงก่อนน้องพี่” เชื้อเชิญองค์ชายสิบสองด้วยท่าทีไตร่ตรอง
“พี่ห้าทำไม่หุนหันออกมาเช่นนี้มีเรื่องใดหนักหนาจนไม่อาจด้วยวิสัยของท่านสุภาพอ่อนโยนไม่ว่ากับผู้ใด” องค์ชายห้ายิ้มกลบเกลื่อน
“เพียงแค่ข้าคิดได้ว่าเราเป็นชาวไห่ตงหยวนไม่มีความจำเป็นต้องชิดเชื้อกับเชลยให้มากความ” ชงไฉ่ยังไม่ค่อยเชื่อนัก
“แล้วไยพี่ห้าถึงเชื้อเชิญเขามาที่จวนร่วมดื่มผูกมิตร” อ๋องห้าขมวดคิ้ว
“แล้วองค์ชายสิบสองใยต้องสนใจเขามากมายเพียงนั้น” เลิกคิ้วมองน้องชายแบบจับผิดบ้าง
“อย่างนั้นสิ่งที่ไม่สมควรใส่ใจก็คือเชลยที่เมามายอยู่ในจวนของพี่ห้าสู้ท่านไล่เขาไปไม่ดีกว่ารึ”
“ดี องค์ชายสิบสองช่วยพี่ห้าทีไปไล่เขาออกจากจวนของพี่ห้าให้ด้วย” อ๋องห้าถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อองค์รัชทายาทจากไป
จิวซิน นอนลืมตาตื่นอาการวิงเวียนหายไปเกือบหมดมีเพียงอาการปวดหัวที่ยังคลั่งค้าง ชงไฉ่ย่างสามขุมเข้ามาในห้องมองเห็นจิวซินนั่งบนแท่นนอนมีจิ่นฉินยืนคอยท่า
“หากอาการเมามายหายไปข้าคิดว่าองค์ชายใหญ่เหอตงหยวนสมควรกลับตำหนักบูรพาได้แล้ว” อ๋องห้าเดินมาสมทบ
“อาการเมามายหายไปก็ใช่จะดีขึ้นข้าเชิญองค์ชายใหญ่จินเกอค้างที่นี่สักคืน” ชงไฉ่มองหน้าพี่ห้าของเขาอย่าง งงงัน
“ข้าไม่รบกวนท่านห้าดีกว่าดึกดื่นเพียงนี้ท่านยังต้องมาดูแลข้า และยังมีบางคนอยากให้ข้าไป”
“เป็นข้าที่อยากให้ท่านค้างเสียที่นี่” องค์ชายห้าเหมือนคิดอะไรในใจ
จิวซิน เริ่มสงสัยว่าทำไมคะยั้นคะยอนางนัก
“ไม่เป็นไร มิกล้า ข้าจินเกอไม่เคยไกลบ้าน มาครั้งนี้ก็ยังไม่คุ้นกับตำหนักบูรพากับต้องมานอนค้างในจวนท่านห้าโอกาสไม่มีมีเพียงครั้งไว้โอกาสหน้าข้าไม่พลาดที่จะเดินหมากร่ำสุรากับท่านแน่นอน”
เมื่อรู้ว่าแผนการไม่เป็นไปตามที่คิดองค์ชายห้าจึงยิ้มกลบเกลื่อนอาการผิดหวัง
ชงไฉ่มองคนนู้นทีคนนี้ที
“ข้าลาองค์ชายทั้งสอง ไปเถอะจิ่นฉิน” หันมาทางองครักษ์หนุ่ม
จิวซินจากไปองค์ชายห้าท่าทางครุ่นคิด
“พี่ห้าเหตุใดท่าน ถึงปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายผิดที่ทำเหมือนขับไล่องค์ชายใหญ่ไปจากจวน”
“ก็เพื่อให้เขาพร้อมใจ จากไปด้วยความเต็มใจอย่างไรเล่าทำไมน้องข้าถึงคาดไม่ถึง”
ตบไหล่น้องชายเบาๆ ชงไฉ่ขมวดคิ้วสงสัยในอาการของพี่ห้าแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม
“องค์หญิง” จิวซิน ยกมือขึ้นปิดปากจิ่นฉิน ความรู้สึกซาบซ่านแล่นเข้าสู่หัวใจของจิ่นฉิน
“ใครให้เรียกข้าแบบนี้ องค์ชายต้องเรียกองค์ชาย”
จิวซินพูดจาอ้อแอ้ปล่อยตัวตามสบายหลังจากที่พยายามตั้งสติยามอยู่ต่อหน้าองค์ชายห้าและชงไฉ่ จิ่นฉินรวบร่างบางอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกเดินย่ำไปตามทางที่มืดมิดจิวซินโอบมือรอบคอ ซุกหน้าลงบนอกภาพที่เห็นคือ บุรุษร่างบึกบึนกับอุ้มชายหนุ่มร่างอ้อนแอ้นแต่ใครจะรู้เล่าภายใต้อาภรณ์ของบุรุษนั้นได้ซ่อนร่างงามระหงหากแต่คนอุ้มไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างอุ่นๆ ในอ้อมแขนเป็นร่างบอบบางของหญิงสาวอย่างแท้จริง
