บทที่ 3 3

“แม่คะ...แม่จะให้หนูไปจริง ๆ หรือคะ?”

คำถามที่ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความวิงวอนทว่าก็ยังอ่อนหวานทำให้หญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงผ้าป่านสีดำซึ่งกำลังจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางหันมามองร่างเล็กบอบบางของหญิงสาววัยย่างเข้าปีที่ยี่สิบด้วยแววตาอันนุ่มนวล

“จ้ะ...ลูกมีความจำเป็นต้องไปและแม่ก็มีเหตุผลที่จะอธิบายลูกได้นะจ๊ะ”

กะรัตกล่าวกับรสิกา บุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งอยู่ในวัยยี่สิบสองที่เดินเข้ามาและทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงภายในห้องนอนของบ้านหลังเล็กติดกับสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ไทเลอร์

“แต่...หนูต้องไปอเมริกาเหนือนะคะแม่”

รสิกากล่าวอย่างเหงาหงอย หญิงสาวชาวไทยรูปร่างเล็กบอบบางอยู่ในชุดกระโปรงลูกไม้สีดำ เรือนผมยาวสีน้ำตาลเข้มขลับรับกับใบหน้าหมดจดงดงามและผิวขาวผ่องเป็นยองใยขับประกายอันเจิดจรัสราวกับดอกไม้อันสะพรั่งท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ทว่านัยน์ตากลมโตชวนฝันคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความหมองหม่นจนไม่อาจอธิบาย

“แค่เมืองเมดิสันแถบเทือกเขาแอปปาเลเชียน...โรส...ฟังแม่นะจ๊ะ”

กะรัตหยุดงานในมือของเธอ หญิงวัยกลางคนซึ่งแม้บนโครงหน้ารูปไข่จะมีริ้วรอยทว่าก็ยังคงความงามสมวัยรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางที่มีเสื้อผ้าของบุตรสาวอัดอยู่ภายในจนเต็มก่อนหันมาพูด

“การที่แม่ให้ลูกไปอเมริกาเหนือกับดอมมินิคลูกชายของคุณเอ็ดมันน์ตามคำสั่งของคุณผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่น่าลำบากใจอะไร ลูกต้องไปอยู่ที่นิวแฮมเชียร์ ไวท์ เมาท์เทน ก็เพื่อไปคอยดูแลและช่วยเหลือเรื่องการบ้านการเรือนให้กับลูกชายคนเดียวของคุณผู้ชาย...คุณเอ็ดมันน์มีบุญคุณกับเราสองคนแม่ลูกมากขนาดไหน ลูกต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจนะจ๊ะ โรส”

“แต่แม่ต้องอยู่ที่นี่คนเดียวนะคะ” รสิกาแย้งเสียงเศร้า ๆ “งานศพของคุณเอ็ดมันน์ก็เพิ่งผ่านไปไม่นาน ที่สำคัญหนูไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยรู้จักคุณดอมมินิค ลูกชายของท่านเลยสักหน เขาจะเป็นคนยังไงก็ยังไม่รู้เลย”

“เขาก็คงเป็นคนดีเหมือนคุณผู้ชาย...แม่แน่ใจอย่างนั้นนะจ๊ะ”

“แม่คะ...แล้วเรื่องคดีที่ตำรวจเรียกแม่ไปสืบพยานล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง?”

หญิงสาวถามมารดาที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปในวินาทีนั้น

“เอ้อ...ก็ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ” กะรัตก้มหน้าลงตรวจตรากระเป๋า รสิกาก้มหน้าและมองมารดาอย่างเคลือบแคลง

“แม่คะ...แม่แน่ใจนะคะว่าไม่มีอะไรจริง ๆ “

“โรส...” กะรัตเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาว เธอพยายามปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นปกติ “ตำรวจเขาก็แค่ถามแม่ว่าจำรูปพรรณสันฐานของคนร้ายได้มั้ย คืนนั้นแม่เข้าไปในห้องของคุณผู้ชายและมันก็ช่างประจวบเหมาะกับที่มีคนร้ายบุกเข้าไป...”

เสียงของเธอขาดหายไปราวกับยังสะเทือนใจกับเหตุการณ์และแทบไม่อยากพูดถึง กะรัตยังทำใจให้ลืมภาพเหตุการณ์คืนนั้นไม่ได้ มันยังชัดเจนอยู่ในดวงตา ภาพที่คูณผู้ชายของคฤหาสน์ไทเลอร์ถูกปลิดชีพด้วยคมกระสุนจากฆาตกรใจอำมหิตที่บุกเข้าไปถึงในห้องอย่างอุกอาจ

“แม่คะ...หนูขอโทษ” รสิกากล่าวอย่างสำนึกผิด “ทั้งที่หนูไม่อยากจะพูดถึงมันอีก แต่หนูก็กลัวเหลือเกินค่ะว่าจะมีเสียงครหาว่าแม่...มีส่วนรู้เห็นในการตายของคุณลุงเอ็ดมันน์”

“มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครกันล่ะที่จะไม่คิดแบบนั้น แต่เรารู้ว่าเราบริสุทธิ์ใจ เราเท่านั้นที่รู้ว่าใครรักเราและหวังดีกับเราบ้าง”

“หนูไม่อยากไปอเมริกาเหนือเลยค่ะ”

“เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ จะไม่มีคำว่าปฏิเสธ มีแต่การทำตามคำสั่งด้วยความเต็มใจ ที่เราสองคนมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณเอ็ดมันน์ ลูกจะต้องไม่ลืมท่าน ท่องไว้ให้ขึ้นใจนะจ๊ะ”

“เขาจะคิดกับพวกเรา...อย่างที่คนอื่นคิดไหมคะ?”

“หืมม์” กะรัตเลิกคิ้ว

“ก็คิดในแง่ลบเรื่องการตายของคุณลุง”

“ไม่แน่นนอน” หญิงวัยกลางคนยิ้มให้กำลังใจ “แม่เคยได้ยินคุณผู้ชายพูดถึงคุณดอมมินิค ลูกชายของท่านอยู่บ่อย ๆ อืม...ตั้งแต่มาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่แม่ก็ไม่เคยเห็นเขาเลยสักหนเพราะคุณดอมมินิคไม่เคยกับบ้านเลยตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา คุณผู้ชายบอกว่าเขาขลุกอยู่แต่ในเหมืองถ่านหินในเมืองเมดิสันแถบเทือกเขาแอปปาเลเชียนกับโรงไฟฟ้าของไทเลอร์ พาวเวอร์ กรุ๊ปที่ไอดาโฮจนไม่มีเวลากลับมาที่นี่เลย เขาตั้งใจที่จะขยายงานของบริษัทให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาต้องการพิสูจน์ฝีมือ ไม่อยากให้เกิดคำครหาว่าที่ประสบความสำเร็จได้เพราะเป็นลูกประธานบริษัทใหญ่ แต่คุณเอ็ดมันน์ก็ไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของเขา ถ้าฟังจากที่คุณผู้ชายเล่า ลูกชายของท่านก็คงเป็นคนมุ่งมั่นมากและคงหัวรั้นน่าดู”

นั่นล่ะที่น่ากลัว...รสิกานึกในใจ ทำไมเธอจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกิติศัพท์ลูกชายคนเดียวของเอ็ดมันน์ ไทเลอร์ ถึงจะไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนจริง ๆ ของเขาทว่าสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับ ดอมมินิค ไทเลอร์ ทั้งความเด็ดขาดและหัวรั้นก็น่าครั่นคร้ามอยู่มิใช่น้อย

และหญิงสาวก็นึกถึงวันแรกที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ไทเลอร์ เธอติดสอยห้อยตามมารดาของเธอซึ่งเป็นหม้ายเพราะสามีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตมาถึงอเมริกาด้วยความเมตตาของมหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เอ็ดมันน์ ไทเลอร์ ที่พบมารดาของเธอซึ่งตอนนั้นเป็นแม่ครัวในร้านอาหารในฟลอริดาให้มาเป็นแม่บ้านอยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป