บทที่ 11
"เอ่อ..." หนิงอวิ้นหยูวกะพริบตาปริบ ๆ อย่างใสซื่อ
นางใช้สายตามองมาที่สองคนบนเตียงอย่างอยากรู้อยากเห็น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พอได้มาเห็นสองคนใกล้ ๆ ก็ยิ่งเร้าใจกว่าตอนฟังจากเสียงแล้วจินตนาการเอาเป็นไหน ๆ
ความตกใจที่มาอย่างกะทันหัน ทำให้มู่หนิงเอ๋อร์หวีดร้องออกมา นางขยับหลบภายใต้อาณัติของซือจ้านเหยียนด้วยตัวสั่นเทา
ซือจ้านเหยียนดึงผ้าห่มมาคลุมกายของมู่หนิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้ร่างกายแข็งแกร่งกำยำบังนางเอาไว้
เมื่อเขาหันมา นัยน์ตาพลันฉายแววกรุ่นโกรธ
"ไสหัวไปซะ!"
หนิงอวิ้นหยูวยิ้มอย่างไม่แยแส "ท่านอ๋อง โกรธอะไรนักหนาเล่า? นี่ข้ากำลังปลุกไฟให้พวกเจ้าอยู่นะ!"
นางพูดพร้อมกับใช้ดาบเคาะลงบนพื้นเป็นจังหวะ เคาะไปพลางส่งเสียงร้องฮึกเหิม "ท่านอ๋องสู้ ๆ ท่านอ๋องเก่งที่สุด จ้านอ๋องยอดเยี่ยมที่หนึ่งในโลก..."
"หนิงอวิ้นหยูว เจ้าพอได้แล้ว!" ซือจ้านเหยียนโกรธจนหน้าดำเหมือนก้นหม้อ
มู่หนิงเอ๋อร์ตกใจกลัวจนหน้าขาวซีด
สองคนบนเตียง หมดสภาพเป็นไหน ๆ
แค่นี้พอหรือ?
จะไปพอได้อย่างไร?
หนิงอวิ้นหยูวมาในวันนี้ ก็ไม่คิดที่จะให้พวกเขาเข้าหอกันอย่างมีความสุขอยู่แล้ว
นางโยนดาบลงบนเตียง ดาบเล่มนี้อยู่คู่กายซือจ้านเหยียนมาหลายปี ผ่านศึกร่วมกันกับเขามาแล้วหลายสนามรบ บนคมดาบยังมีคราบเลือดของศัตรูหลงเหลืออยู่เลย
ดาบเล่มนี้ บันทึกไว้ซึ่งคุณงามความดีของเขา แบกรับผลงานของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะถูกนางนำมาเคาะลงกับพื้นราวกับเป็นแค่ของเล่น!
ซือจ้านเหยียนจ้องดาบบนเตียงพร้อมตะคอกอย่างกรุ่นโกรธ "หนิงอวิ้นหยูว เจ้าหาเรื่องตายหรือ?"
"ท่านอ๋อง เจ้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ คนที่เรียกข้ามาเฝ้าห้องหอก็คือเจ้า ข้าอุตส่าห์วิ่งตุปัดตุเป๋มาให้กำลังใจพวกเจ้า แต่เจ้ากลับมาบอกว่าข้าหาเรื่องตายอย่างนั้นหรือ?" หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยพูดอย่างใบหน้าไร้เดียงสา
มู่หนิงเอ๋อร์เห็นประกายดาบแหลมคมก็แทบตาลาย นางเอ่ยพูดอย่างสั่นกลัวว่า "ท่านอ๋อง ข้ากลัว!"
"กลัวอะไร? ข้าไม่ได้เอาดาบไปจี้หน้าเจ้าเสียหน่อย" หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยพูดอย่างลำพองใจ
มู่หนิงเอ๋อร์ใช้มือปิดหน้า ตกใจกลัวจนแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมา
"เจ้ากล้าแตะต้องนางก็ลองดูสิ!" สีหน้าของซือจ้านเหยียนเปลี่ยนเป็นกระหายเลือดอย่างน่ากลัว
คนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงพุ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
"จือหยู่ว ลากนางออกไปเฆี่ยนยี่สิบไม้!" ซือจ้านเหยียนเอ่ยพูดอย่างขุ่นเคือง
ผู้ติดตามที่อยู่หน้าสุดคือจือหยู่ว เขาพุ่งเข้ามาอย่างหูไวตาไว จากนั้นก็จับกุมหนิงอวิ้นหยูวเอาไว้อย่างไม่ต้องออกแรงใด ๆ
"มีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ท่านอ๋องของพวกเจ้าเรียกข้ามาเอง ข้าเป็นถึงหวางเฟยผู้สูงส่ง มีความจำเป็นอะไรต้องมารับใช้นางสนมไม่ทราบ ซือจ้านเหยียนเจ้าเป็นคนดูหมิ่นข้าก่อน แต่ตอนนี้กลับโยนความผิดมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ!" หนิงอวิ้นหยูวโต้กลับอย่างเดือดดาล
นางโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน คนที่เข้ามาจับนางแรงเยอะเป็นบ้า ไม่ว่านางจะออกแรงมากขนาดไหน ก็ดิ้นไม่หลุดจากพันธการอยู่ดี
"ลากนางออกไปเฆี่ยนซะ!" ซือจ้านเหยียนสาดไฟโกรธใส่หญิงสาวอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก
แต่ก่อน ต่อให้เขาเกลียดหนิงอวิ้นหยูวมากแค่ไหน ราชวงศ์ก็ไม่เคยสั่งสอนให้เขาลงมือกับผู้หญิง
แต่ว่าวันนี้ บรรยากาศในคืนเข้าหอถูกหนิงอวิ้นหยูวเข้ามาป่วนจนเละเป็นกอง ทำเอาซือจ้านเหยียนหมดอารมณ์จะทำอะไรต่อ
เมื่อเขาเห็นท่าทางใจกล้าของหนิงอวิ้นหยูว ก็คิดในใจว่าหากไม่ให้บทเรียนแก่นางในครั้งนี้ เกรงว่านางคงไม่สำเหนียกว่าตนเองสกุลอะไร
เฆี่ยน?
หนิงอวิ้นหยูวสะดุ้งโหยง ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกลากตัวออกไปแล้ว
เมื่อนางเห็นคนถือไม้เนื้อหยาบขนาดเท่าขายืนรออยู่ข้าง ๆ นางพลันตระหนักได้ว่าคราวนี้ซือจ้านเหยียนเอาจริง
ถ้านางถูกตีด้วยไม้เนื้อหยาบขนาดนี้ ต่อให้ไม่ตาย เนื้อหนังก็คงหลุด
มันใช่การเฆี่ยนตีที่ไหน นี่กะแก้แค้นเอาสะใจชัด ๆ
"ซือจ้านเหยียน ตอนนั้นข้าคงตาบอดแน่ ๆ ถึงได้เลือกแต่งงานกับเจ้า! เจ้ามันเชิดชูสนมเหยียบย่ำภรรยา พลิกเปลี่ยนกฏเกณฑ์เพื่อแก้แค้นแทนมู่หนิงเอ๋อร์! แน่จริงวันนี้เจ้าก็ตีข้าให้ตายสิ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้ข้ารอดไปได้ ในภายภาคหน้าข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าให้จงได้!"
หนิงอวิ้นหยูวตะโกนฝ่าสายฝนกระหน่ำ
แต่คำพูดเหล่านี้ ซือจ้านเหยียนไม่ได้ยินเลยสักนิด
เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการปลอบขวัญคนในอ้อมกอด ไม่มีเวลาไปสนใจว่านางกำลังพูดอะไร
"ข้าว่าเจ้าอย่าเปลืองแรงเลยดีกว่า จะได้เหลือแรงไว้พูดตอนโดนเฆี่ยนเสร็จ" จือหยู่วมองมาที่นางด้วยสีหน้าดูแคลน
พูดจบ หนิงอวิ้นหยูวก็ถูกมัดติดกับม้านั่งตัวยาว
นางเห็นไม้ด้ามนั่นตีลงบนร่างกายของตนเองอย่างหนักหน่วง ความรู้สึกเจ็บจนชาทำให้นางตัวสั่นเทิ้มอย่างทนไม่ได้ นางกัดริมฝีปากแน่น พยายามไม่ให้ตนเองส่งเสียงร้องออกมา
จือหยู่วยืนนับว่าลงไม้ไปแล้วกี่ครั้งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเฉยชา
บนหน้าผากของหนิงอวิ้นหยูวมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาไม่หยุด นางเอ่ยพูดด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า "ข้าเป็นถึงจ้านหวางเฟย แต่กลับถูกพวกเจ้าลากมาเฆี่ยนตีกลางดึก หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปคนที่จะขายหน้าก็คือคนในจวนจ้านอ๋องทั้งนั้น!"
"นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง ถ้าจะพูดอะไรก็รอให้เฆี่ยนเสร็จก่อน แล้วค่อยไปพูดกับท่านอ๋องเองแล้วกัน" จือหยู่วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
คำสั่งท่านอ๋องอีกแล้ว คำพูดของซือจ้านเหยียนในจวนจ้านอ๋องแห่งนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินนะ!
ทุกครั้งที่ถูกตีร่างกายของหนิงอวิ้นหยูวไม่เพียงแค่สั่นเทาครั้งสองครั้ง ช่วงล่างของนางเปื้อนไปด้วยคราบเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ของเหลวสีแดงข้นไหลอาบม้านั่ง หยดลงบนพื้นหินสีอ่อน
ริมฝีปากล่างของนางถูกกัดจนเลือดไหลซิบ เหงื่อเย็น ๆ ชื้นไปทั่วใบหน้าของนาง
พอมาถึงช่วงท้าย ๆ ช่วงล่างของนางก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เสมือนจุดธูป แต่กลับยาวนานราวหนึ่งศตวรรษ
ห้วงสำนึกของหนิงอวิ้นหยูวค่อย ๆ พร่าเลือน นางเอนราบอยู่บนม้านั่งถูกเฆี่ยนตีจนไร้เรี่ยวแรง
นับแต่นี้ ต่อให้นางใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าไปยั่วยุซือจ้านเหยียนอีกแล้ว
ขณะที่นางกำลังจะหมดสติ ระหว่างนั้นนางก็เห็นร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่ง
ร่างนั้นเหมือนจะเป็นซือจ้านเหยียน
จากนั้น บุคคลนั้นก็นั่งยอง ๆ บีบคางของนางบังคับให้สบตาเขา
"ที่นี่ไม่ใช่วังหลวง และไม่ใช่จวนอัครมหาเสนาบดี อยู่ที่นี่ทางที่ดีเจ้าควรหัดยอมรับความจริงซะ!"
น้ำเสียงเลือดเย็นไร้ความปราณีเช่นนี้ นอกจากซือจ้านเหยียนแล้วก็เป็นใครไปไม่ได้อีก
