บทที่ 12
หนิงอวิ้นหยูวสติแจ่มแจ้งขึ้นมาในทันใด ดวงตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็แสยะยิ้มเย็น "ความจริง? ความจริงที่ว่าเจ้าไม่รักข้า แต่เจ้าดันมาแต่งงานกับข้าน่ะหรือ ตราบใดที่มีข้าอยู่ คนในใจของเจ้าก็เป็นได้แค่สนมตลอดไปเท่านั้นแหละ!"
นางจงใจเน้นคำว่า "สนม" อย่างชัด ๆ
ซึ่งมันทิ่มแทงแผลในใจของซือจ้านเหยียนเข้าพอดี
เขาบีบคางหนิงอวิ้นหยูวแรงกว่าเดิม โทสะและความเกลียดชังที่สะสมในแววตาทำท่าจะพังทลายลงมาเหมือนน้ำหลาก
"หนิงอวิ้นหยูว เจ้าถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้ ยังจะปากดีอีกหรือ?"
หนิงอวิ้นหยูวโกรธถึงขีดสุด ตะโกนเสียงดังว่า "เจ้าเอาข้ามาเฆี่ยนตีจนหมดสภาพในคืนแต่งงานของเจ้ากับมู่หนิงเอ๋อร์ มิหนำซ้ำยังเชิดชูสนมเหยียบย่ำภรรยา ท่านอ๋องเป็นถึงบุคคลอับดับหนึ่งแห่งแคว้นหนาน ไม่กลัวว่าอนาคตจะดับอนาถหรือไง?"
ซือจ้านเหยียนกวาดสายตามองแผลบนร่างกายของนาง จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา
"เฆี่ยนยี่สิบไม้ ก็แค่อยากย้ำเตือนเจ้า อย่าคิดว่าเจ้าได้เป็นจ้านหวางเฟยแล้ว ข้าจะไม่กล้าทำอะไร ในเมื่อเจ้าชอบตำแหน่งจ้านหวางเฟยนัก ข้าก็จะให้เจ้านั่งตำแหน่งนี้อย่างทุกข์ทรมาน!"
ไม่ต้องให้ซือจ้านเหยียนบอก ภายในระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา นางก็พอจะรู้แล้วว่าหากตนเองไปต่อกรกับเขา ก็คงไม่ต่างอะไรกับการเอาไข่ไก่ไปทุบก้อนหิน
แต่หนิงอวิ้นหยูวไม่อยากยอมเขา
เพราะนางรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่ซือจ้านมีต่อตนเองอย่างชัดเจน เกลียดเหมือนหนิงอวิ้นหยูวไปกรีดโลงศพบรรพบุรุษของเขาเล่นอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
พอลองคิดดู คนอื่นทะลุมิติมาแล้วยังได้รักกัน ทั้งยังมีแต่คนปกป้อง แต่นางล่ะ?
ทะลุมิติมาก็เจอแต่ความลำบาก!
ผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักจริง ๆ จัง ๆ เช่นนาง ทะลุมิติมาก็ข้ามขั้นกลายมาเป็นหญิงแต่งงานแล้ว เท่านั้นไม่พอยังแต่งเข้ามาในจวนที่นางสนมเป็นใหญ่ แล้วหลังจากนี้จะให้นางใช้ชีวิตอย่างไร?
เพิ่งแต่งงานมาหมาด ๆ ได้สี่วัน ก็ถูกเฆี่ยนตีจนลุกไม่ขึ้น แม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดก็ยังไม่มี
นี่นางไปสร้างบาปกรรมอะไรไว้?
หนิงอวิ้นหยูวคิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็คลอหน่วยในดวงตา โอดครวญในใจอย่างทุกข์ทน
เมื่อซือจ้านเหยียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย กวาดตามองใบหน้ารูปไข่ดูดีของนางด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วเอ่ยถามว่า "เหตุใดหน้าของเจ้าถึงดีขึ้น?"
"ท่านอ๋อง เจ้าเกลียดข้าเข้าไส้มิใช่หรือ จู่ ๆ ทำไมมาใส่ใจข้าเช่นนี้ล่ะ?"
น้ำเสียงของหนิงอวิ้นหยูวเต็มไปด้วยความประชดประชัน นางเงยหน้าขึ้นมองซือจ้านเหยียนทั้งยังแสร้งทำหน้าประหลาดใจ "คงไม่ใช่ว่าท่านอ๋องชอบข้าเข้าแล้วหรอกนะ?"
"เพ้อเจ้อ" ซือจ้านเหยียนตอบกลับอย่างเย็นชา
ดวงหน้าของหนิงอวิ้นหยูในตอนนี้งดงามล่มเมืองก็จริง แต่น่าเสียดาย ซือจ้านเหยียนไม่ได้เป็นคนมองคนที่หน้าตา กอปรกับเขามีความแค้นฝังเลือดฝังเนื้อกับตระกูลหนิง เขาจึงไม่มีทางเกิดความรู้สึกใด ๆ ต่อหนิงอวิ้นหยูวเด็ดขาด!
หนิงอวิ้นหยูวสะอึกจนพูดอะไรไม่ออก นางนอนราบอยู่บนม้านั่ง จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น บริเวณช่วงล่างเจ็บจนชา นางอยากให้ซือจ้านเหยียนรีบถามรีบจบ นางจะได้กลับไปทายาสักที
ดังนั้น นางจึงเอ่ยพูดอย่างไม่เต็มใจ "หน้าของข้าหายดีเพราะท่านแม่ไปจ้างหมอเทวดา นำยามารักษาให้ข้าโดยเฉพาะ"
"อ่อ? ยาอะไรล่ะวิเศษขนาดนั้นเลย?" ซือจ้านเหยียนเอ่ยถามอย่างเรียบนิ่ง
"ก็ยาถอนพิษทั่วไปนั่นแหละ ใช้ทาบนหน้าครึ่งหนึ่ง แล้วก็กินครึ่งหนึ่งก็หายดีแล้ว ที่จวนข้ายังเหลืออยู่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ เรียกคนไปเอามาดูก็ได้"
คำพูดของหนิงอวิ้นหยูว จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
แต่ถึงนางจะบอกไปว่าตัวเองทะลุมิติมา และสามารถหยิบยาจากห้องทดลองในห้วงสำนึกมารักษาได้ ซือจ้านหยานก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
สู้ยกความดีความชอบให้จวนอัครมหาเสนาบดีดีกว่า เพราะถึงอย่างไรซือจ้านเหยียนก็คงไม่ไปสืบหาที่มาที่ไปของยาอยู่แล้ว
"ไม่ล่ะ" แค่เข้าใกล้นางซือจ้านเหยียนก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว จะให้เขาตามไปดูยาของนางได้อย่างไร
เขาลุกขึ้น ปรายตาลงต่ำมองหนิงอวิ้นหยูวที่หมดสภาพ "ยังมีอีกเรื่อง เจ้าจงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้หนิงเอ๋อร์ต่างหากคือนายหญิงของจวน ตำแหน่งของนางสูงกว่าเจ้า หากเจ้าก่อเรื่องวุ่นวาย นางก็สามารถเรียกคนมาจัดการเจ้าได้เหมือนกัน"
"แล้วข้าล่ะ? ข้าเป็นอะไร?" หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยถามอย่างกระฟัดกระเฟียด
"เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับสาวใช้ที่มีตำแหน่งหวางเฟยค้ำคอ ในจวนจ้านอ๋องแห่งนี้ไม่ว่าใครก็สามารถกลั่นแกล้งเจ้าได้ทั้งนั้น" ตอนที่ซือจ้านเหยียนพูดประโยคนี้ออกมา บนหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
ความหมายของเขาก็คือหนิงอวิ้นหยูวจะอยู่ในจวนแห่งนี้อย่างไร้จุดยืน
"ข้าคือคนที่ฝ่าบาททรงพระราชทานการแต่งงานให้มาเป็นภรรยาของเจ้านะ!" หนิงอวิ้นหยูวดิ้นรน
นางก็แค่อยากอยู่ในจวนอย่างสงบสุข เหตุใดมันถึงได้ยากเพียงนี้?
"ต่อให้เจ้าตายในจวน ข้าก็มีวิธีทูลต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว" ซือจ้านเหยียนกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้นาง
เขายอมถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ก็ถือว่าเขาถอยให้สุด ๆ แล้ว
หนิงอวิ้นหยูวกัดฟันกรอดแล้วเอ่ยพูดว่า "ได้ ซือจ้านเหยียน งั้นมาดูกัน....."
เดิมทีนางว่าจะพูดถ้อยคำแรง ๆ ออกมา แต่ภาพเบื้องหน้ากลับพร่าเบลอขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หัวของนางค่อย ๆ หนักอึ้ง นางเงยหน้าพยายามมองมาที่ซือจ้านเหยียน จากนั้นก็หมดสติไปอย่างสมบูรณ์
"ท่านอ๋อง หวางเฟยหมดสติไปแล้ว ให้บ่าวเรียกหมอหลวงมาดูนางหรือไม่ขอรับ?" จือหยู่วเดินเข้ามาถามอย่างนอบน้อม
"ไม่ต้อง" ซือจ้านเหยียนหยิบผ้าออกมาเช็ดมือข้างที่เพิ่งจับหนิงอวิ้นหยูวไป จากนั้นก็โยนทิ้งไว้บนพื้น
เขาทำท่ารังเกียจเหมือนเพิ่งไปจับสิ่งของสกปรกมาอย่างไรอย่างนั้น
"นางพูดเองนี่ว่าหากยังมีชีวิตรอด นางจะหาทางคิดบัญชีกับข้าให้ได้ เช่นนั้นควรปล่อยให้นางรอดหรือ?"
"แต่ว่าหากหวางเฟยเป็นอะไรไป คงอธิบายกับจวนอัครมหาเสนาบดีไม่ได้แน่....." จือหยู่ววกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง
"หนิงอวิ้นหยูวปะทะข้าต่อหน้าทุกคน ไร้ซึ่งความเคารพ ข้าก็แค่สั่งสอนนางแทนท่านอัครมหาเสนาบดีเท่านั้นเอง ดีเท่าไหร่แล้วที่ข้าไม่กล่าวโทษเขาโทษฐานไม่สั่งสอนลูก เขายังจะกล้ามาเอาผิดข้าอีกหรือ?" ซือจ้านเหยียนพูดอย่างเหยียดหยาม
เขาจัดชายเสื้อ แล้วเดินนำออกไป
"ไปออกคำสั่งให้นำตัวนางกลับไปซะ เป็นหรือตายก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต ห้ามใครสอดมือเข้าไปช่วยทั้งนั้น!"
"ขอรับ!"
