บทที่ 4
หยุนเอ๋อร์มองเจ้านายของตนเองด้วยท่าทางร้อนรน กล่าวเตือนอย่างระมัดระวังว่า "นายหญิง ท่านอ๋องไม่ให้ท่านไปเจ้าค่ะ อย่าไปเลยนะเจ้าคะ"
นางติดตามหนิงอวิ้นหยูวมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้เป็นอย่างดีว่าความรักที่หนิงอวิ้นหยูวมีต่อซือจ้านเหยียนมันลึกซึ้งแค่ไหน
คนงามหวังดีด้วยมีใจ แต่สายน้ำกลับไหลผ่านไร้ความปราณี ซือจ้านเหยียนแทบไม่สนใจความเป็นความตายของหนิงอวิ้นหยูวเลยด้วยซ้ำ
หยุนเอ๋อร์เป็นเพียงสาวใช้จึงไม่อาจช่วยอะไรได้มาก ทุกครั้งจึงทำได้แค่กระวนกระวายใจอยู่ข้างกายหนิงอวิ้นหยูวเท่านั้น
หนิงอวิ้นหยูวรู้ว่าคำพูดของนางมาจากความหวังดี แต่การตายไม่เป็นธรรมของเจ้าของร่างเดิม หลงเหลือไว้ซึ่งความไม่ยินยอมเต็มอก ถ้าวันนี้นางไม่ออกหน้าแทนเจ้าของร่างเดิม เจ้าของร่างเดิมคงไปอย่างมีอะไรติดค้างในใจแน่ ๆ
นางตบไหล่หยุนเอ๋อร์เบา ๆ แล้วเอ่ยว่า "ถ้าวันนี้ข้าไม่ไป หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครจำได้น่ะสิว่าในจวนแห่งนี้ยังมีหวางเฟยเช่นข้าอยู่ อีกอย่าง สามีแต่งสนมเข้าเรือนทั้งที ข้าเป็นถึงนายหญิงของจวน จะไม่ออกหน้าได้อย่างไร"
ขณะที่พูด นางก็ชี้ไปที่ชุดใหม่สีแดงสด แล้วพูดกับหยุนเอ๋อร์ว่า "วันดี ๆ เช่นนี้ ก็ต้องแต่งจัดเต็มหน่อยสิ"
หยุนเอ๋อร์มองมาที่นางด้วยใบหน้ากังวล จากนั้นก็หยิบชุดมาเปลี่ยนให้หนิงอวิ้นหยูวเงียบ ๆ
หนิงอวิ้นหยูวเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์สีแดง แต่งหน้าอย่างบรรจง
ก่อนจะออกไปข้างนอก นางก็หยิบผ้ามาคลุมหน้า ปกปิดความงามของนางไว้ครึ่งหนึ่ง
ด้านนอกจวน ประตูสิริมงคลประดับประดาไปด้วยสีแดง ขนาดอยู่ข้างนอกก็ยังได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีดังในลานพิธี แตกต่างกับบรรยากาศเย็นชืดในวันแต่งงานของจ้านอ๋องกับพระชายาเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างสิ้นเชิง
ในตอนที่หนิงอวิ้นหยูมาถึงประตู ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับมู่หนิงเอ๋อร์ลงมาจากเกี้ยวเจ้าสาวพอดี
ดวงตาฉ่ำน้ำของมู่หนิงเอ๋อร์ทอดมองใบหน้าของซือจ้านเหยียนผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโปร่งบางอย่างหลงใหล ราวกับมีถ้อยคำมากมายสื่อผ่านแววตา พูดออกมาไม่จบไม่สิ้น
ด้านซือจ้านเหยียนที่อยู่ตรงหน้าวันนี้สวมใส่ชุดแต่งงานสีแดง ช่วงเอวผูกด้วยสายรัดเอวทำจากใยไหมสีเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีเย็นชาในวันที่แต่งงานกับหนิงอวิ้นหยูวแล้ว วันนี้ใบหน้าของเขาดูมีความสุขราวกับชนะคนทั้งโลก
เขาจูงมือบอบบางของมู่หนิงเอ๋อร์ด้วยความรักใคร่ จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในจวนพร้อมกัน
ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้ ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมือนกิ่งทองใบหยก ราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง
“ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบไหว้ฟ้าดิน!”
“ช้าก่อน!” เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
จากนั้นก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งในชุดสีแดงสุด
หนิงอวิ้นหยูวเดินช้า ๆ เข้าไปหาทั้งสองคน วินาทีที่นางปรากฏตัว เสียงปะทัด เสียงตีกลองต่างก็หยุดชะงักลง เมื่อทุกคนเห็นนาง ล้วนมีสีหน้าราวกับเห็นผี
มีข่าวลือแพร่สะพัด ว่าหนิงอวิ้นหยูวจบชีวิตตนเองในวันที่สองหลังจากแต่งเข้าจวนจ้านอ๋อง
การปรากฏตัวของนางในพิธีแต่งงานที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างก็ใจตรงกัน ก็ยิ่งทำนางเหมือนตัวตลก
“เจ้ามาทำไม?” ใบหน้าของซือจ้านเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
“ท่านอ๋องแต่งงานทั้งที ข้าในฐานะหวางเฟยที่แต่งเข้ามาอย่างถูกหลักประเพณีจะไม่มาเข้าร่วมพิธีได้อย่างไร?" หนิงอวิ้นหยูวจ้องเขม็งมาที่เขา เอ่ยออกมาชัด ๆ ทีละคำว่า "ท่านอ๋อง ตามที่บรรพบุรุษสร้างกฎเอาไว้ สนมจะเข้าประตูหลักไม่ได้ หากจะเข้าจวนก็คงต้องเข้าทางประตูรองแล้วล่ะ"
สิ้นคำพูด คนเบื้องล่างก็เริ่มซุบซิบกันขึ้นมา
หวางเฟยผู้นี้ไม่เป็นที่โปรดปรานเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันอย่างทั่วถึง ไม่เช่นนั้นจ้านอ๋องคงไม่ถือโอกาสได้รับชัยชนะจากการสู้รบ ยื่นข้อเสนอกับฝ่าบาทว่าจะแต่งบุตรสาวของภรรยารองตระกูลมู่อย่างมู่หนิ่งเอ๋อร์เข้าจวนหรอก
หากไม่ใช่เพราะนางมีสถานะเป็นเพียงบุตรสาวของภรรยารอง จึงไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายา ป่านนี้หนิงอวิ้นหยูก็ไม่ได้มาเป็นจ้านหวางเฟยที่ถูกต้องตามหลักประเพณี
ซือจ้านเหยียนพูดด้วยใบหน้าขุ่นเคือง "เจ้ากำลังพูดเพ้อเจ้ออะไร?"
“ข้าไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ท่านอ๋องจะถามคนอื่นดูก็ย่อมได้ ว่านางสนมผู้นี้แหกกฏ แต่งเข้าประตูหลัก!" หนิงอวิ้นหยูวพูดเน้นชัดทีละคำ
มู่หนิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ มือที่หลุบอยู่ใต้ชุดแต่งงานก็กำแน่น จนเล็บยาวจิกลึกที่ฝ่ามือ กระนั้นนางก็ไม่รู้สึกเจ็บ
นางหลบอยู่ข้างหลังซือจ้านเหยียนเหมือนนกน้อยหาที่พึ่ง จับมือเขาเอาไว้เพื่อขอความช่วยเหลือ
เมื่อทุกคนในเหตุการณ์เห็นดังนั้น ต่างก็อยากทวงความยุติธรรมให้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหนาน ทว่าคำพูดของหนิงอวิ้นหยูวก็ไม่มีจุดใดผิดเลยสักนิด....
ซือจ้านเหยียนโอบเอวของมู่หนิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเขาฉายแววสงสาร เอ่ยพูดกับมู่หนิงเอ๋อร์เสียงแผ่วเบาว่า "เจ้าคงรู้สึกแย่"
มู่หนิงเอ๋อต์ส่ายหน้าอย่างเป็นเด็กดี เอ่ยตอบเสียงนุ่มนวล "ตราบใดที่ได้อยู่ข้าง ๆ พี่เหยียน ให้เข้าประตูไหนหนิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้สึกแย่"
นางพูดพลางเตรียมผละตัวเดินไปทางประตูรองเพียงลำพัง
ในตอนนี้เองหนิงอวิ้นหยูวก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า "อ่ออีกอย่าง เป็นแค่สนมเหตุใดถึงใส่ชุดแต่งงานสีแดงเข้าจวนล่ะ? ตั้งแต่สมัยโบราณ นางสนมต้องใส่สีชมพูเข้าจวนเท่านั้นนะ หยุนเอ๋อร์ ไปเอาชุดแต่งงานสีชมพูดมาให้นายหญิงฮูหยินมู่เปลี่ยนหน่อยเร็ว"
“ข้า…” มู่หนิงเอ๋อร์สะอึก
คนงามน้ำตาตก จนซือจ้านเหยียนสงสารจับใจ เขาจึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า "การที่ข้าให้หนิงเอ๋อร์เข้าทางประตูรอง ก็ถือว่าข้ายอมให้สุด ๆ แล้วนะ เจ้าอย่ามาทำตัวได้คืบจะเอาศอก"
“ได้คืบจะเอาศอก?” หนิงอวิ้นหยูวแสยะยิ้ม นางเอ่ยพูดอย่า เรียบนิ่งว่า "เขาทำกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ มีท่านอ๋องที่ไหนเคยแต่งสนมแล้วไม่ให้เข้าทางประตูรองกับใส่ชุดแต่งงานสีชมพูบ้าง ทำไมมู่หนิงเอ๋อร์ถึงได้พิเศษนักล่ะ หรือว่าในสายตาของท่านอ๋อง กฎของบรรพบุรุษจะมองข้ามอย่างไรก็ได้?"
ไม่ให้ความสำคัญต่อกฎบรรพบุรุษ ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่หนิงเอ๋อร์ทนไม่ไหว นางจึงลงมือดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกเอง แล้วมองไปยังหนิงอวิ้นหยูวที่กำลังยืนอยู่ตรงประตูอย่างหยิ่งยโส
เมื่อก่อนนังคนอัปลักษณ์นี้มีแต่ถูกรังแก เคยกล้ามีปากมีเสียงแบบนี้เสียที่ไหน แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับพูดจาฉะฉานประโยคที่พูดออกมาไม่มีจุดไหนผิดสักคำ นางแทบอยากเข้าไปฉีกหน้าหยิ่ง ๆ ของหนิงอวิ้นหยูวให้เละ
นางฝืนข่มกลั้นความโกรธ กัดริมฝีปากแล้ววิ่งไปหาหนิงอวิ้นหยูวด้วยสีหน้ากังวล
“ท่านพี่ ความผิดทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของหนิงเอ๋อร์ เพราะหนิงเอ๋อร์ไม่รู้ความเอง ท่านพี่อย่าโทษพี่เหยียนเลยนะ!”
หนิงอวิ้นหยูวก้มหน้ามอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาที่ตนด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังตื่นกลัว ก็อดปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท่าทางนี้มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
แต่ความโกรธที่ฉายวาบผ่านแววตาของมู่หนิงเอ๋อร์เมื่อสักครู่ ถูกนางจับสังเกตได้อย่างแม่นยำ
หนิงอวิ้นหยูวแสยะยิ้ม รู้สึกทึ่งกับทักษะการแสดงของมู่หนิงเอ๋อร์ แบบนี้คงได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมแน่ ๆ
น่าเสียดาย ต่อให้โกหกคนอื่นได้ แต่โกหกสายตานางไม่ได้หรอก
นางเอ่ยพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "ในเมื่อเจ้าสำนึกผิด ไยจึงไม่รีบปฏิบัติตามกฏล่ะ อย่าทำให้ทุกคนอับอายสิ!"
