บทที่ 6

“คนเราควรรู้จักสำเหนียกตน เจ้าก็ควรส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง คนอย่างเจ้าคู่ควรให้น้องสาวข้าคุกเข่ายกน้ำชาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือ?"

คนที่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา คือพี่ชายทั้งสองของมู่หนิงเอ๋อร์ นามว่ามู่เซี่ยงหรงและมู่เซียงหลี่

แม้นมู่หนิงเอ๋อร์จะเป็นเพียงสนม แต่กระนั้นก็เป็นที่รักของคนทั้งตระกูล และไม่เคยถูกกระทำมาก่อน

หนิงอวิ้นหยูวตวัดสายตามองทั้งสองคนที่มีท่าทีก้าวร้าว ก็จำได้ในทันทีว่าพวกเขาคือใคร

ในอดีตสองคนนี้มักจะรังแกเจ้าของร่างเดิมทุกครั้งที่สบโอกาส พวกเขาแทบไม่เห็นหวางเฟยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ สีหน้าของหนิงอวิ้นหยูวก็เยือกเย็น นางจ้องตาสองคนนั้นตรง ๆ เอ่ยพูดอย่างไม่หวั่นเกรง "อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงคุณหนูจากจวนอัครมหาเสนาบดี เป็นคนที่ฝ่าบาททรงพระราชทานงานแต่งให้มาเป็นพระชายาของจ้านอ๋อง เป็นลูกสะใภ้ที่ราชวงศ์ยอมรับ พวกเจ้ากล้ายึดคำพูดแค่ไม่กี่คำ บังอาจมาตัดสินการตัดสินใจของฝ่าบาทหรือ พวกเจ้ายังเห็นหัวฝ่าบาทอยู่หรือไม่? "

เมื่อใดที่ความผิดโทษฐานเหยียดหยามอำนาจการติดสินใจของกษัตริย์ก่อเกิดขึ้นมา การลงโทษตระกูลมู่ด้วยการฆ่าล้างเก้าชั่วโคตรก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง

เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อทั้งสองคนได้ยินประโยคนี้ก็เริ่มขลาดกลัว

หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยพูดอย่างตอกย้ำ "ในเมื่อพวกเจ้าดึงดันจะพูดให้ได้ว่าข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งหวางเฟย เช่นนั้นก็ไปกัน ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังไปทูลถามฝ่าบาทเอง ว่าข้าคู่ควรหรือไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้"

เมื่อถ้อยคำเหล่านี้ถูกพูดออกมา บรรยากาศรอบด้านพลันเงียบลง

หลายคนที่เมื่อครู่ยังหัวร้อนอยากหาเรื่อง พลันเงียบปากลง มู่เซี่ยงหรงกับมู่เซียงหลี่ที่ลุกขึ้นยืนก็ปิดปากฉับ ไม่กล้าพ่นอะไรออกมาอีก ก้าวถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

หนิงอวิ้นหยูวมองตามสองคนนั้นที่เผ่นหนีออกไปด้วยใบหน้าดูถูก คิดในใจอย่างดูแคลน ก็นึกว่าจะแน่ ที่ไหนได้แค่สองประโยคก็ตกใจกลัวแล้ว

เมื่อนางเห็นว่าไม่มีคนกล้าเข้ามาท้าทายอีก จึงหันไปจดจ้องที่มู่หนิงเอ๋อร์เขม็ง เอ่ยพูดกับหยุนเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "ไปเตรียมชาถ้วยที่สองมาให้นางสนม ความร้อนของชาอยู่ในระดับที่พอดีเมื่อไหร่ ข้าถึงจะยกดื่มเมื่อนั้น"

ไม่นานหยุนเอ๋อร์ก็ยกน้ำชาเข้ามา ขณะที่มู่หนิงเอ๋อร์กำลังจะยื่นมือออกไปรับ ทันใดนั้นหนิงอวิ้นหยูวก็ยกมือขึ้นมา ปัดถ้วยชาลงบนพื้น จนเศษกระเบื้องแตกกระจาย

หนิงอวิ้นหยูวแสร้งเอ่ยพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ "ขอโทษจริง ๆ เมื่อครู่มือข้าลื่นน่ะ เผลอทำถ้วยชาแตกเลย หยุนเอ๋อร์ ไปเตรียมชาถ้วยที่สามมาให้นางสนมเร็ว"

มู่หนิงเอ๋อร์สั่นไปทั้งตัว แต่เพราะอยู่ท่ามกลางสายตาธารกำนัลนางจำต้องอดกลั้น แสร้งทำท่าน่าสงสารออกมา

เรื่องในวันนี้ ทำให้ชื่อเสียงอันร้ายกาจจากความริษยาของหนิงอวิ้นหยูวแพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวมุมถนน

มู่หนิงเอ๋อร์มองเศษกระเบื้องกระจุยกระจายบนพื้นอย่างลังเล จากนั้นก็เอ่ยถามว่า "ท่านพี่ไม่เรียกคนมาเก็บก่อนหรือ?"

"ก็รอจนกว่าเจ้าจะคุกเข่าเสร็จ ข้าถึงจะเรียกคนมาเก็บ" หนิงอวิ้นหยูวตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

คุกเข่าเสร็จ?

มู่หนิงเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีด หากคุกเข่าบนเศษกระเบื้อง นางคงเจ็บขามากแน่ ๆ......

นางหลบซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของซือจ้านเหยียน เอ่ยถามด้วยดวงตาคลอหยาดน้ำ "เหตุใดท่านพี่ถึงบีบบังคับข้าถึงเพียงนี้?"

"แค่ยกน้ำชาทำความเคารพข้า เจ้าก็หาข้ออ้างนั่นนี่มาถ่วงเวลา มิหนำซ้ำยังให้คนอื่นออกหน้าด่าข้าแทนเจ้า แบบนี้ไม่เรียกว่าเคารพหรอก แล้วไหนจะที่เจ้าแอบทำอะไรตุกติกกับน้ำชา ตั้งใจจะให้ข้าขายหน้า แบบนี้ก็ไม่เรียกว่าเคารพเช่นกัน ข้าก็แค่ลงโทษเจ้าให้นั่งคุกเข่าบนเศษกระเบื้องเพื่อยกน้ำชาแด่ข้า เท่านี้ก็ถือว่าข้าโอนอ่อนให้สุด ๆ แล้วนะ"

คำพูดของหนิงอวิ้นหยูวดังสะเทือนพสุธา นางไม่แยแสสายตาแปลก ๆ ของคนอื่นเลยสักนิด

ถ้าตอนแรก มู่หนิงเอ๋อร์ไม่แอบทำอะไรตุกติกในน้ำชาถ้วยแรก ก็คงไม่ต้องมานั่งคุกเข่าบนเศษกระเบื้องแบบนี้

ถ้าจะโทษใครก็ควรโทษมู่หนิงเอ๋อร์ที่หาเรื่องเจ็บตัวเอง เอาแต่ท้าทายขีดจำกัดความอดทนของนางอยู่ได้

เมื่อหนิงอวิ้นหยูวเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากของมู่หนิงเอ๋อร์ ก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง

มู่หนิงเอ๋อร์มองสตรีเบื้องหน้าพร้อมกัดฟันกรอด นางแทบอยากฉีกหน้าเย่อหยิ่งของหนิงอวิ้นหยูวนั้นทิ้งซะ

นางกัดฟัน ไม่ให้ซือจ้านเหยียนสอดมือเข้ามาช่วย จากนั้นก็ใช้สองมือยกน้ำชา คุกเข่าลงบนเศษกระเบื้องอย่างใจแข็ง เอ่ยพูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก "ท่านพี่ เชิญดื่มชา"

หนิงอวิ้นหยูวยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาด้วยจิตใจสงบนิ่ง แล้วค่อย ๆ จิบเบา ๆ

"ชาที่น้องหญิงยกคำนับแด่ข้า หอมหวานกว่าชาปกติทั่วไปจริง ๆ " หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยพูดอย่างมีเลศนัย

มู่หนิงเอ๋อร์แทบควบคุมอาการไม่อยู่เมื่อได้ยินประโยคนี้ นางลุกขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา เดินกลับมาอยู่ข้าง ๆ ซือจ้านเหยียน

ซือจ้านเหยียนให้คนไปเตรียมยาแก้บวมร้อนมาไว้ตั้งแต่ต้น จากนั้นก็ค่อย ๆ บรรจงทาบนมือของมู่หนิงเอ๋อร์ต่อหน้าทุกคน เอ่ยถามด้วยใบหน้าเป็นห่วงว่า "เจ็บไหม?"

มู่หนิงเอ๋อร์น้ำตาคลอ ราวกับจะร้องไห้ออกมาอย่างน้อยใจอยู่รอมร่อ

“ไม่... ไม่เจ็บ!”

ก่อนที่นางจะแต่งเข้ามา นางได้ยินชื่อเสียงเรื่องความอัปลักษณ์ของหนิงอวิ้นหยูวมาตั้งแต่แรก เขาพูดกันว่าอีกฝ่ายทั้งขี้เหร่ทั้งโง่เขลา พูดจาติด ๆ ขัด ๆ ไม่ฉะฉาน เวลาถูกกลั่นแกล้งก็ทำได้แค่กัดฟันกล้ำกลืน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า พอได้มาเจอหนิงอวิ้นหยูวในวันนี้ อีกฝ่ายจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางคงประเมินอีกฝ่ายไว้ต่ำไป

วันเวลายังอีกยาวไกล หลังจากนี้นางต้องรักษาแผลให้หายดี แล้วกลับมาสู้กับหนิงอวิ้นหยูวอีกครั้ง

เมื่อหนิงอวิ้นหยูวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคนราวกับไม่มีผู้ใดอยู่รอบข้าง ความรู้สึกสะอิดสะเอียนก็แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย

นางเดินเข้าไปด้วยความใส่ใจ อาศัยทักษะของแพทย์เฉพาะทางกวาดสายตามองแผลของมู่หนิงเอ๋อร์

“นี่ น้องหญิง เจ้าต้องรีบทำแผลนะ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็หายแล้วล่ะ”

มู่หนิงเอ๋อร์โกรธจนหาที่ลงไม่ได้ นางกุมบาดแผล แล้วเดินเข้าไปหาหนิงอวิ้นหยูว

"ท่านพี่ก็ลองดูแผลของข้าสิ เจ็บหนักซะขนาดนี้!"

นางพูดพร้อมกับชูมือที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นสูง อาศัยจังหวะตอนที่หนิงอวิ้นหยูวไม่ทันระวังตัว ดึงผ้าปิดหน้าของนางออก

ผู้คนร่ำลือกันว่าหนิงอวิ้นหยูวอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง วันนี้ก็ให้ทุกคนเห็นพร้อมกันไปเลยว่านางอัปลักษณ์แค่ไหนกันแน่

เมื่อผ้าคลุมหน้าสีขาวไหลหล่นจากใบหน้าของหนิงอวิ้นหยูว ก็เผยให้เห็นดวงหน้างามล่มเมืองของนาง

ชั่ววินาทีนั้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งอึ้ง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป