บทที่ 13 ได้เวลา..จบเกม
ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่องกระจ่างสวย และสายลมเย็นฉ่ำจากท้องทะเลที่กำลังกราดเกรี้ยว โดยมีดวงตาเกือบร้อยคู่ที่แหงนมองขึ้นมาด้วยความสนใจและอิจฉาในความรักของทั้งคู่เป็นประจักษ์พยาน
ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงคิดอะไรงี่เง่าแบบนี้นะ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากเสียของเล่นไป ของเล่นราคาถูกที่คว้ามาจากตลาดสด ของเล่นส่วนตัวที่ทำให้เขาสนุกทุกครั้งที่ได้เล่น ของเล่นที่เขายังไม่รู้สึกเบื่อ ก็เลยนึกลังเลขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง เขาไม่ควรหวั่นไหวกับการตัดสินใจของตัวเองแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว
“คืนนี้...” จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้อิงแอบแนบชิดในฐานะคู่รัก และจะเป็นคืนแรกของการเป็นศัตรูที่แสนเกลียดชังกันตลอดชาติ “ทุกคนจะเป็นพยานให้เราสองคน”
ใบหน้าสวยซ่อนเศร้าผละออกจากอกกว้างของเขาแล้วแหงนเงยมองคนร่างสูง เจ้าของอ้อมกอดที่เคยอบอุ่นและปลอดภัยสำหรับเธอ แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย
“ค่ะ ทุกคนจะเป็นพยาน ว่าเราสองคนนั้น...”
“รักกันมากแค่ไหน”
“เราควรลงไปหาเพื่อน ๆ ที่งานปาร์ตี้ซะที” เธอบอกพลางขยับถอยห่างจากเขาหนึ่งก้าว แต่เขากลับคว้ามือเธอไว้แล้วดึงร่างเธอเข้าไปกอดแนบอีกคราว หัวใจเต้นหนักจนได้ยินชัดหู เขาคงกำลังเลือดสูบฉีดแทบคลั่ง อะดรีนาลีนหลั่งไปทั่วทั้งร่าง เมื่อเวลาแห่งชัยชนะใกล้เข้ามา
“บัว...” เขากระซิบใกล้หู ด้วยน้ำเสียงสับสน ราวกับกังวลและตื่นตระหนก “ผม...”
“อะไรคะ” เขาไม่จำเป็นต้องตะล่อมเธอด้วยคำพูดหวานหูหรือชักแม่น้ำทั้งห้าในเธอหลงเชื่ออีกแล้ว เพราะเวลานี้เธอกลายเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเหมือนคนคิดหนัก สายตาเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่เธอไม่อาจหยั่งถึง เขาคิดอะไรอยู่ หรือกำลังวางแผนทำอะไรอีก
“ผมหล่อรึยัง” เขากำลังแสดงให้รู้ว่าเขานั้นแสนจะตื่นเต้นกับการออกไปปรากฏตัวต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคนพร้อมกับว่าที่เจ้าสาวคนนี้...อย่างนั้นหรือ...ไม่เลย...อยู่ๆเขาก็พูดไม่ออกขึ้น เหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
“ผม...”
“เฮ๊ยเมฆ!” เสียงของราเมศดังขึ้นอีกครั้ง ปลุกเขาให้หลุดจากภวังค์อันปั่นป่วน หมอนั่นกลับขึ้นมาเพื่อจะเตือนสติเพื่อนรักให้รู้ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ หลังจากที่เพื่อนรักใช้เวลากับเหยื่อนานเกินไปหน่อย “เพื่อน ๆ รออยู่นะ มากันเต็มงานแล้ว พาว่าที่เจ้าสาวของนายลงไปได้แล้ว”
สายตาของราเมศพูดกับเขาว่าอย่ามัวแต่ถ่วงเวลาอยู่เลย มันถึงเวลาที่ต้องแสดงฉากสุดท้ายแล้ว ซึ่งเป็นฉากที่ทุกคนรอย เขาไม่ควรทำให้เพื่อนผิดหวัง
“ก็กำลังจะลงไปนี่ไง!!” อิศราส่งสายตากร้าวใส่เพื่อน น้ำเสียงเข้มนิดหน่อย เพราะรู้สึกไม่พอใจที่โดนเพื่อนตำหนิทางสายตา หากทุกคนคิดว่าเขายื้อเวลาเพราะเกิดใจอ่อนให้กับเหยื่อขึ้นมาล่ะก็ ทุกคนคิดผิดแล้ว “ไปเถอะบัว”
มือแกร่งแต่เย็นเยียบและชุ่มเหงื่อพอชื้นคว้าจับมือนุ่มเธอไว้อย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ได้เวลาแล้ว”
“เอ่อ...” แต่เธอมีบางเรื่องต้องทำก่อน “คุณลงไปก่อนเถอะ บัวขอเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ แล้วจะรีบตามลงไป”
เธอปลดมือเขาออกจากมือของเธอด้วยตัวเอง ราวกับปลดพันธนาการออกจากชีวิต
“อ้อ โอเค งั้นผมลงไปก่อนนะ”
“ค่ะเมฆ”
เขาโน้มหน้าเข้าหาเธอ แล้วหอมแก้มเธออีกครั้งอย่างอ่อนหวาน เธอยิ้มให้เขาก่อนจะเดินห่างออกมา โดยไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก เธอกลัวจะเห็นรอยยิ้มเยาะสะใจจากเขา เธอยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้
บัวบูชาตรงไปยังห้องนอนใหญ่บริเวณชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องที่ถูกตระเตรียมเอาไว้สำหรับเป็นห้องหอ
อิศเรศแอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ละสายตาจากหญิงสาวที่เดินหายเข้าไปในตัวบ้านแล้ว ก่อนจะหันมามองเพื่อนตาเขียวปั๊ด
“ทำไมแกทำหน้าแบบนั้น?”
“หน้าแบบไหนวะ”
“ก็หน้า...” เขาชี้หน้าราเมศตรง ๆ อย่างเอาเรื่อง “หน้าแบบนี้ไง แกคิดว่าฉันอยากถ่วงเวลาอยู่กับยัยนั่นเหรอ ได้โปรดอย่าเข้าใจฉันผิดเด็ดขาด มันก็แค่การใช้เวลาช่วงสุดท้ายอย่างสวยงามที่สุด ฉันแค่อยากทำให้ยัยนั่นหลงจนโงหัวไม่ขึ้น พอโดนผลักลงมาจากสวรรค์ จะได้ช็อคจนขาดใจตายไปเลย”
“เปล่าซะหน่อย ใครจะกล้าคิดว่านายพยายามถ่วงเวลา นายเป็นคนคิดแผนและวางแผนเองทุกอย่างนะ” แต่สีหน้าของราเมศกลับตรงกันข้าม นั่นเพราะเขาคิดจริง และไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่คิดแบบนี้ ทิวากรเองก็คิดไม่ต่างกัน หมอนั่นจึงยุให้เขาขึ้นมาตามไงล่ะ “ก็เห็นเต้นรำกันอยู่ตั้งนานสองนานแล้ว คิดว่านายลืมอะไรไปรึเปล่า ก็เท่านั้นเอง เพื่อน ๆ เลยให้ฉันมาปลุกนาย”
“ลืมอะไรวะ”
“ก็ลืมว่าต้องประกาศเรื่องสำคัญกลางงานปาร์ตี้ไง ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า ที่จัดงานนี้ขึ้นก็เพราะเรื่องนี้ ไม่งั้นจะจัดงานทำห่าอะไร อ้อ ที่ว่าเต้นรำนาน มันนานสักเท่าไหร่กันวะ แค่สิบนาทีสิบห้านาทีเอง ทำเป็นใจร้อนไปได้”
