บทที่ 14 ฉันมันโง่เอง
“สิบนาทีอะไรวะ นายยืนกอดอยู่กับยัยนั่นเกือบชั่วโมงแล้วนะโว๊ย!!”
“เกือบชั่วโมง!” อิศราตกใจหน้าเหวอ และทำหน้าแทบไม่ถูก ทั้งยังพูดตะกุกตะกักอีกต่างหาก เขาล่ะอยากจะตบปากตัวเองสักที “เฮอะ! พอเหอะ ลงไปเปิดแชมเปญ เตรียมฉลองให้ว่าที่เจ้าสาวของฉันดีกว่า คิดแล้วสนุกฉิบ!”
แต่ใบหน้าของอิศรากลับดูไม่สนุกเอาซะเลย ราเมศแอบหวังว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“ไปสิวะ”
“เออ”
“เตรียมฉลองเหอะ เพราะเกมใกล้จะโอเวอร์แล้ว” เขาพูดจบก็รีบเดินนำเพื่อนไปลงไปชั้นล่างของบ้านด้วยท่าทางมั่นใจเหมือนเป็นคนเดิม แต่สีหน้าแอบเครียดกังวลโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามในทุกย่างก้าวที่จะปลุกตัวเองให้หลุดออกจากภาวะอารมณ์ของผู้แพ้ เพราะเขากำลังจะชนะ
ขณะบัวบูชาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเขา เธอกวาดสายตามองไปทั่วทุกซอกทุกมุม ด้วยสายตาเศร้าแต่ซ่อนไว้ซึ่งความกล้าแกร่ง
เธอเดินไปยังหน้าโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง มองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมอง จับจ้องที่แหวนหมั้นเรียบหรูบนนิ้วนางข้างซ้าย
“มันเป็นของปลอม” ถึงแม้มันจะเป็นเพชรแท้ แต่ความหมายของมันก็ปลอมอยู่ดี เธอตัดสินใจถอดแหวนวงนั้นออกจากนิ้ว ทว่า พยายามจะดึงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหลุดออกมา ราวกับมันได้สลักตัวอยู่บนนิ้วนางของเธอไปแล้ว
“ทำไมถอดไม่ออกเนี่ย!”
เธอพยายามอีกหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล จนเธออ่อนอกอ่อนใจให้กับความโชคร้ายของตัวเอง เธอเพียงแค่อยากคืนมันให้แก่เขาเท่านั้น แต่กลับไม่มีสิทธิ์
“หลักฐานของความโง่สินะ มันคงอยากจะอยู่กับเรา เพื่อคอยย้ำเตือนให้เรารู้ว่าเราเคยโง่แค่ไหน”
เมื่อเธอไม่สามารถถอดแหวนหมั้นออกจากนิ้วนางข้างซ้ายได้ เธอจึงหันไปมองประตูบานเล็กที่เชื่อมกับห้องทำงานของเขาเอาไว้
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น เพราะมันมีประตูอีกบานที่ซ่อนอยู่หลังผนังห้อง ห้องที่ต้องใช้รหัสเปิดเข้าไป ห้องเก็บสมบัติส่วนตัวในวัยเด็กที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป เขาบอกว่าจะให้เธอเข้าไปในห้องนี้หลังจากแต่งงานกันแล้ว
แต่มันไม่มีวันนั้นน่ะสิ...เพราะเธอกับเขาจะไม่มีวันได้แต่งงานกัน
บัวบูชาอยากรู้มานานแล้วว่าเขาซ่อนอะไรไว้ข้างใน แต่เธอไม่อยากก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของเขา จึงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวและซักไซ้ แต่วันนี้เธออยากรู้แล้วล่ะว่าเขามีความลับอะไรซ่อนอยู่
เธอคิดถึงตัวเลขสำคัญของเขา ทั้งวันเกิดของเขา และวันเกิดของมารดา แต่ประตูก็ยังไม่ยอมเปิด กระทั่งลองใช้วันเกิดของเธอเอง แล้วมันก็ได้ผล
“ใช้วันเกิดฉันเหรอ...อืม...ฉันต้องเตรียมใจสินะ”
เพราะมันคงไม่ใช่ขาวดีแน่ เธอทำใจครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในซึ่งค่อนข้างสลัว พอไฟเปิดสว่างก็มองเห็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ออกแบบเหมือนห้องเธียเตอร์ส่วนตัว มีจอหนังขนาดเล็กบนฝาผนัง ชุดโซฟาหรูวางอยู่กลางห้อง โต๊ะไม้เข้าชุดโซฟาดูเก่ากึก
“อ่า...” เธอก้าวเข้าไปยืนข้างในด้วยสายตาตะลึงงัน กวาดสายตามองดูภาพถ่ายและข้อมูลของตัวเองติดอยู่เต็มห้องและวางเกลื่อนบนโต๊ะ เขาเก็บเรื่องราวของเธอไว้มานานมากแล้ว นับตั้งแต่จบจากมัธยม กระทั่งตอนนี้ แม้หลายปีที่เขาไปเรียนต่อเมืองนอก เขาก็ยังจับจ้องมองเธอตลอดเวลา ด้วยการส่งใครบางคนมาเฝ้าเธอห่าง ๆ คนผู้นั้นตามติดเธอในทุกฝีก้าว คอยถ่ายรูปเธอในทุกที่ที่เธอไป
“อะไรกันนี่...นี่คุณ...วางแผนมานานแล้ว...คุณเฝ้ามองฉันมาตลอดเลย...คุณทำแบบนี้ทำไม??”
หัวใจของเธอสั่นรัวไปหมด เพราะนอกจากเขาแล้ว ยังมีใครบางคนตามติดเธอทุกฝีก้าวอีกด้วย โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลย โดยที่เธอไม่สงสัยเลยสักนิด
“เขากับเพื่อนสนิทของเขาไปเรียนด้วยกันนี่นา แล้วใครคอยถ่ายรูปเราส่งให้เขา???”
บัวบูชาพยายามตั้งสติแล้วรีบออกจากห้องนั้นมา เธอบอกให้ตัวเองใจเย็นและสู้กับทุกสิ่งที่กำลังจะเผชิญในไม่ช้า ไม่ว่ามันจะร้ายแรงและอันตรายแค่ไหนก็ตาม
“โอเคบัว..อย่างน้อย...เธอก็ไม่ต้องเป็นคนโง่ต่อไปไง เธอต้องทำได้ ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว!!!”
เธอก้าวลงจากชั้นบนของบ้าน แล้วเดินตรงไปยังปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ซึ่งกำลังครื้นเครงและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ใจเธอยิ่งสั่นเทา เธอเดินผ่านเพื่อน ๆที่มีแต่รอยยิ้มยินดีส่งมาให้ แต่เธอไม่อาจวางใจใครได้เลย เพราะภายในงานนี้ คงมีใครสักคนที่ทำหน้าที่เป็นกระจกให้แก่อิศรา ใครสักคน...
“เฮ๊! ว่าที่เจ้าสาวมาแล้ว!!!” เสียงของราเมศดังต้อนรับเธอโหวกเหวก ก่อนจะเป็นเสียงปรบมือตามมาราวกับนัดหมายกันไว้ “ปรบมือต้อนรับว่าที่เจ้าสาวหน่อยครับ”
อิศรายืนอย่างสง่า รอเธออยู่กลางฟลอเต้นรำริมสระว่ายน้ำ ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนสนิทและสักขีพยานคับคั่ง ขณะเสียงเพลงบรรเลงจากเปียโนหวานจับใจทีเดียว
“บัว!” ลลิตาและกอบกุลโบกมือให้เธอพร้อมรอยยิ้มสดใสยินดี ขณะที่เพื่อนทุกคนต่างยกแก้วไวน์ในมือขึ้นแสดงความยินดีแทนคำพูด
