บทที่ 5
สุดท้ายฉันกับเคนท์ก็จบกันไม่สวย และก็ไม่ได้ให้มิ้นท์มารับฉันอยู่ดี
ฉันให้คนรับใช้ในบ้านลากกระเป๋าเดินทางของฉันขึ้นไปข้างบน แล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนล้า
เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดเมื่อห้าปีก่อน ฉันก็รู้สึกหดหู่และไม่ยอมแพ้
ตอนอายุสิบแปด ฉันคือคุณหนูแห่งตระกูลพัศญาที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา แต่พออายุยี่สิบสอง ฉันกลับกลายเป็นตัวน่าสมเพชที่ถูกไล่ออกจากบ้าน
ปีนั้นเองที่ฉันแต่งงาน และก็ถูกสามีของตัวเองรังเกียจ
โชคชะตาทอดทิ้งฉันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้เพื่อไม่ให้ตัวเองพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ฉันยังต้องมาเลี้ยงลูกชายให้คนอื่นอีก
คนที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง ก็คงเป็นแบบนี้แหละ
ฉันหัวเราะเบาๆ
'อันน์ เธอนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ'
“นายหญิงคะ คุณหนูรินลณีมาค่ะ”
ฉันขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นยืน
รินลณีมาทำไม?
หลายปีที่แต่งเข้าตระกูลภาณุ ฉันไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของพวกเขาเลย แม้ว่าฉันจะพยายามเอาอกเอาใจพวกเขาสารพัดวิธี ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลเลยสักครั้ง
โดยเฉพาะรินลณี ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับพศิน ฉันคงสงสัยว่าเธอรักพศิน รักแต่ไม่สมหวังจนกลายเป็นคนจิตใจบิดเบี้ยวไปแล้ว
ทุกครั้งที่ไปบ้านใหญ่ เธอสามารถหาเรื่องมาแกล้งฉันได้เป็นร้อยๆ เรื่อง
ห้าปีมานี้ นอกจากสั่งให้ฉันดูแลลูกสาวของเธอแล้ว เธอก็ไม่เคยมาหาฉันด้วยตัวเองเลยสักครั้ง
แม้ในใจจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ฉันก็ยังคงเดินออกไป
แต่ฉันไม่คิดว่ากัญญาจะมากับเธอด้วย กัญญาควงแขนรินลณี ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งจอมปลอมเหมือนเคย
แถมยังจูงเวลส์มาด้วย
ฉันเข้าใจในทันที ว่าเธอกำลังหาที่พึ่งให้ตัวเอง
และเธอก็ใช้โอกาสนี้บอกฉันว่า ไม่ว่าฉันจะพยายามเอาใจคนตระกูลภาณุแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ในขณะที่เธอทำมันได้อย่างง่ายดาย
รินลณีมองฉัน ในแววตายังคงเต็มไปด้วยความรังเกียจที่ฉันคุ้นเคย
“เธอยังคงไร้ยางอายเหมือนเดิม กัญญา เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
รินลณีควงแขนกัญญา ตอนที่เดินเข้าไปก็จงใจผลักฉันไปด้านข้าง
ฉันเดินเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจ รินลณีดึงกัญญาไปนั่งบนโซฟาตัวกลางอย่างสง่าผ่าเผย
เธอมองขึ้นมาที่ฉันแล้วพูดเรียบๆ ว่า “ยังจะยืนทำอะไรอยู่ แขกมาแล้ว ไม่ไปรินน้ำมาให้พวกเราล่ะ? สมแล้วที่มาจากตระกูลไม่ดี ผ่านมาตั้งหลายปี ยังไม่รู้จักธรรมเนียมอีกเหรอ?”
ฉันพูดอย่างเย็นชา “รินลณี คุณลืมไปแล้วเหรอว่าฉันกับกัญญาเป็นพี่น้องต่างแม่กัน เธอเชื่อใจคุณขนาดนี้ คุณพูดแบบนี้ เธออาจจะเสียใจก็ได้นะ”
รินลณีคงไม่คิดว่าท่าทีของฉันจะเป็นแบบนี้
เพราะที่ผ่านมาฉันนอบน้อมกับเธอมาโดยตลอด
สีหน้าของเธอเคร่งขรึมลงทันที ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา
“ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอปากดีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกันว่าคุณจะสนิทสนมกับเมียน้อยมากกว่าภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพี่ชายคุณเสียอีก”
“ในเมื่อมาส่งเด็กแล้ว ฉันก็จะไม่รั้งพวกคุณไว้”
รินลณีเป็นคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาตลอด จะทนรับการปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนี้ได้อย่างไร
“อันน์ นี่มันท่าทีอะไรของเธอ! พี่ชายฉันไม่มีวันชอบเธอหรอก”
“เหรอ แต่ชื่อในทะเบียนสมรสของเขาคือฉัน ชอบหรือไม่ชอบมันสำคัญด้วยเหรอ?”
ฉันกอดอกพูดอย่างเย็นชาที่สุด
กัญญาซ่อนความริษยาในแววตาไว้ แล้วพูดเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “รินลณี เรากลับกันเถอะค่ะ แค่คุณอันน์ดูแลลูกชายของฉันดีๆ ฉันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ฉันเพียงแค่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง
เหมือนกันเหลือเกิน
เธอกับผู้หญิงคนนั้น ช่างเหมือนกันเสียจริง แล้วดูเหมือนว่าผู้ชายทั้งโลกก็ดันชอบผู้หญิงแบบนี้ด้วย
รินลณีตบมือเธอเบาๆ
“กัญญา เธอต้องลำบากใจแล้วนะ วางใจเถอะ ยัยนั่นจะไม่ได้อยู่ข้างกายพี่ชายฉันนานนักหรอก”
ฉันมองพวกเธอด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้โต้ตอบอะไร
จู่ๆ น้องเวลส์ที่นั่งอยู่บนโซฟาก็วิ่งเข้ามาหาฉัน เขาคว้ามือฉันไว้แล้วกัดลงไปอย่างแรง
แรงของเด็กไม่ใช่น้อยๆ เลย หลังมือของฉันเริ่มมีเลือดไหลออกมาในไม่ช้า
ฉันเผลอจะดึงมือกลับ แต่พอได้เห็นดวงตาของเขาที่ถอดแบบมาจากพศินอย่างชัดเจน
ในวินาทีนั้นฉันก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะจนแฟบ
การมีอยู่ของเด็กคนนี้คอยย้ำเตือนฉันถึงความไร้สาระและน่าหัวเราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ฉันเบือนหน้าหนี ความเจ็บปวดบนร่างกายในตอนนี้เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจ
ถ้าหากตั้งแต่แรกฉันหวังแค่เงินของพศินก็คงจะดี
กัญญาลุกขึ้นยืน รินลณีดึงเธอไว้แล้วแค่นหัวเราะ
“อันน์ไม่ได้อยากเป็นแม่เลี้ยงที่ดีนักเหรอ? ผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินอย่างเธอ ความเจ็บแค่นี้ไม่สะเทือนเธอหรอก”
“เราไปกันเถอะ”
กัญญาพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ตอนที่เดินผ่านข้างฉัน เธอกระซิบเสียงเบาว่า
“อันน์ ละครฉากเด็ดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ฉันไม่ได้สนใจเธอ เวลส์ยืนมองฉันอย่างเกลียดชังอยู่ข้างๆ
“ผู้หญิงใจร้าย”
“ป้าเล็ก ไปจัดห้องให้เด็กคนนี้ทีค่ะ”
ฉันทำเป็นมองไม่เห็นความเป็นศัตรูของเขา
ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งฉันใส่ใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดของฉันยิ่งแย่ลงเท่านั้น ตอนนี้ทุกคนกำลังรอสมน้ำหน้าฉันอยู่
ต่อให้เพื่อค่ารักษาพยาบาลของแม่ เพื่อทำให้ความคาดหวังของเคนท์พังทลาย เพื่อรักษาศักดิ์ศรีต่อหน้าสองแม่ลูกตระกูลเหอ ฉันก็ต้องดีกับเด็กคนนี้ให้มากขึ้น
ป้าเล็กมองหลังมือของฉันที่เปื้อนเลือดด้วยความเป็นห่วง
“นายหญิงคะ มือของคุณ...”
“ฉันไม่เป็นไร”
“พาเขาลงไปเถอะค่ะ”
ฉันกลับเข้าห้องนอนอย่างอ่อนล้า หลังมือแสบร้อนไปหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ทายา
มีเพียงความเจ็บปวดที่เหมือนการทรมานตัวเองแบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้ใจฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉันลืมตาขึ้นมา มองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉันลงไปข้างล่าง ป้าเล็กกำลังยุ่งอยู่ในครัว
“พศินยังไม่กลับมาเหรอคะ?”
“ยังค่ะ นายหญิง”
ฉันพยักหน้า หยิบชาร้อนข้างๆ ขึ้นมาจิบ
“แล้วเด็กล่ะ?”
“หลับไปแล้วค่ะ”
“ฉันรู้แล้ว”
ฉันอยู่ไม่นานก็กลับเข้าห้องนอนแล้วหลับไปเลย
อาจเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี คืนนี้ฉันเลยหลับลึกเป็นพิเศษ
จนกระทั่งป้าเล็กปลุกฉันด้วยใบหน้าที่ร้อนรน
“นายหญิงคะ ที่บ้านใหญ่โทรมา บอกให้คุณไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ตอนนี้เลยเหรอ?”
ฉันกดระหว่างคิ้ว
“รู้แล้ว”
ส่วนใหญ่คงเป็นเรื่องของเด็ก ฉันไม่รอช้า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปที่ตระกูลภาณุทันที
ในเมืองเอมีตระกูลเก่าแก่ไม่มากนัก และตระกูลภาณุก็คือหนึ่งในนั้น
ความมั่งคั่งของพวกเขาสั่งสมมานานกว่าสี่ชั่วอายุคน แม้แต่บ้านใหญ่ก็ยังคงมีร่องรอยของกาลเวลา
สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัย บ่งบอกถึงรากฐานอันลึกซึ้งของตระกูลเก่าแก่
ทันทีที่ฉันก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งร้ายที่คุ้นเคย
กุลนิดานั่งอยู่ตรงกลาง ข้างกายเธอคือรินลณี
รินลณีเหลือบตามองบน
“แม่คะ ดูยัยนี่สิ นับวันยิ่งไม่มีมารยาท”
กุลนิดามองฉัน ใบหน้าปราศจากความอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย
“อันน์ อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ และเธอก็เป็นคนอาสาไปรับเวลส์มาดูแลเอง ฉันนึกว่าเธอจะฉลาดพอเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเธอจะโง่เขลาขนาดนี้”
“คุกเข่าลง! ลุงชิต ไปเอาของสิ่งนั้นมา”
นายหญิงใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยอำนาจที่เป็นเอกลักษณ์
ฉันเผลอกำฝ่ามือตัวเองแน่น
ตระกูลภาณุยังคงรักษาธรรมเนียมบางอย่างของตระกูลดั้งเดิมไว้ เช่น การลงทัณฑ์ตามกฎบ้าน
“คุณแม่คะ หนูไม่ทราบว่าหนูทำผิดอะไร”
“เธอไม่รู้เหรอ?”
กุลนิดามองฉันอย่างเย็นชา
ลุงชิตนำไม้ลงทัณฑ์ออกมาแล้ว
มันคือแผ่นไม้ แต่ที่ต่างออกไปคือบนแผ่นไม้มีตะปูที่ตอกไว้ไม่มิด
เธอส่งสายตาเป็นสัญญาณ
คนรับใช้ในบ้านตรงเข้ามากดฉันให้คุกเข่าลงโดยไม่ให้ฉันได้พูดอะไร
กุลนิดาหันหลังให้
“งั้นเธอก็คุกเข่าไปจนกว่าจะสำนึกผิด”
ความเจ็บแปลบที่หัวเข่าทำให้เหงื่อเย็นของฉันไหลโซม
ตะปูทิ่มเข้าไปในจุดที่เคยผ่านการผ่าตัดมาแล้ว เจ็บจนฉันแทบจะหมดสติ
“คุณชาย”
แรงกระชากอย่างรุนแรงดึงฉันขึ้นไป ฉันสบตากับใบหน้าที่เย็นชาของพศิน
