บทที่ 2 Chapter 2
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันถูกนำตัวไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่อีกโซนหนึ่ง นันท์นภัสกวาดตาไปรอบๆ ในสมองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวคิดหาหนทางหนี แม้ว่าหนทางหลบหนีจะน้อยนิดก็ตาม
ระหว่างทางที่พวกคุมซ่องพาสินค้าใหม่ไปตรวจสอบคุณภาพ ชายทั้งสามคนหยุดยืนที่หน้าประตูห้องหนึ่ง ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องนั้นทำให้เหลือคนคุมเพียงสองคน และดูเหมือนว่าคนคุมที่เหลือจะชะล่าใจยืนสูบบุหรี่และคุยกันอยู่หน้าห้องนั้น ไม่ใส่ใจหญิงสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังมากนัก คิดว่าคนที่พวกมันคุมไม่มีทางหนี มีหรือที่พวกเธอจะคิดเช่นนั้น ในเมื่อมีโอกาส ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หลุดมือ
นาตาลีหญิงสาวชาวอเมริกันที่ถูกคนรักหลอกมาขายใช้จังหวะที่พวกมันเผลอรีบวิ่งไปยังตามทางเดิน พอนาตาลีวิ่ง หญิงสาวที่เหลือก็วิ่งตามรวมทั้งนันท์นภัสด้วย
โลแลนกับแซคไม่ได้ยินดียินร้ายกับสตรีทั้ง 7 คนที่วิ่งไปคนละทิศละทาง เนื่องจากทางเดินที่ทอดยาวไปกว่าหนึ่งร้อยเมตรมีทางแยกซ้ายและขวา หญิงสาวต่างเชื้อชาติจึงวิ่งไปตามทางที่คิดว่า หนีพ้น
แต่หารู้ไม่ว่า ไม่มีวันที่พวกเธอจะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ นอกเสียจากพวกเขาจะพาออกไปเอง ซึ่งหมายถึงพวกเธอจะเป็นโสเภณีเต็มตัว
คนที่กำลังนำพาตัวเองให้พ้นไปจากนรกขุมนี้ต่างถูกชายฉกรรจ์ที่กระจายตัวรักษาความปลอดภัยโดยรอบจับกุมได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นสาวชาวไทยที่วิ่งแยกไปทางด้านซ้ายมือคนเดียว
“ยังขาดอีกคนนึง พวกมึงไปตามตัวมาให้ได้” หัวหน้าคุมซ่องสั่งลูกน้อง “โลแลน แซค มึงสองคนพวกมันไปตรวจสอบคุณภาพ คนไหนบริสุทธิ์ให้ไปไว้ที่ห้องเกรดเอ คนไหนผ่านผู้ชายมาแล้วมึงพาไปที่ส่งที่ซ่องของสเตลี่ย์”
ผู้หญิงทุกคนที่ถูกหลอก ถูกจับมาที่นี่จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพว่าอยู่ในระดับไหน หากเป็นสาวบริสุทธิ์ก็จะถูกแยกไว้ที่ห้องเกรดเอ รอวันประมูลขายเนื้อสดให้กับเหล่ากระทาชายที่นิยมชิมรสของสาวแรกแย้มที่ไม่ผ่านมือชาย สาวจำพวกนี้หาได้ยากและทำเงินให้อย่างงดงาม คุณภาพรองลงมาก็จะคัดไปตามเกรด แต่ที่เกรดต่ำที่สุดน่าจะเป็นซ่องของสเตลี่ย์ มันเป็นซ่องที่เปรียบเสมือนนรกสำหรับหญิงสาวทุกคน เพราะมีแต่คนรายได้น้อย นิสัยทราม ซาดิสต์นิยมมาใช้บริการ ไม่ต้องนึกเลยว่า สภาพของหญิงสาวบริการเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร
นันท์นภัสวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เธอไม่เหลียวหลังมาด้วยว่ามีคนตามมาหรือไม่ หนทางข้างหน้าคืออิสระที่ตนเองต้องไขว่คว้า เท้าเล็กเปล่าเปลือยก้าววิ่ง ดวงตาก็มองหาทางออกที่เธอมองแทบไม่เห็น สิ่งที่เห็นคือกำแพงปูนสูงเกือบสองเมตร มีลวดหนามล้อมรอบอยู่ด้านบนกำแพง หนทางหนีของนันท์นภัสจึงริบหรี่เหลือเกิน
ในความมืดมิดยังมีแสงสว่าง นัยน์ตาของนันท์นภัสมองเห็นประตูบานหนึ่งที่อยู่มุมสุดของกำแพงเปิดอ้าอยู่ มันเหมือนเส้นชัยที่เธอต้องวิ่งไปให้ถึง หญิงสาวรีบวิ่งไปยังประตูบานนั้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะเป็นความหวังสุดท้ายของเธอ
แล้วเธอก็ทำได้...นันท์นภัสนำพาร่างกายก้าวผ่านพ้นประตู แต่เธอก็ไม่หยุดวิ่ง เธอยังวิ่งต่อไปแม้ว่าจะไม่รู้ก็ตามว่าที่นี่คือที่ใด ประเทศไหน อยู่มุมใดของโลก ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวของนันท์นภัสคือ ต้องหนี หนีไปให้ไกลจากขุมนรกนี้
ตามทางที่หญิงสาววิ่งเต็มไปด้วยความมืดจากราตรีกาล ซอยแคบๆ ที่มีความกว้างเพียงเดินสวนทางกัน และไร้ซึ่งแสงไฟ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้สาวผลัดถิ่นเกิดความกลัว เพราะความกลัวที่ว่าจะถูกจับกลับไปยังสถานที่เลวร้ายนั้นมีมากกว่า เธอจึงวิ่ง วิ่งและวิ่ง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บเท้า
นันท์นภัสก้าวเท้าวิ่งต่อไปจนพ้นจากซอยแคบๆ เธอมาเลี้ยวไปทางด้านซ้ายโดยไม่คิด ไม่หยุดเท้าเพื่อพิจารณาว่าจะไปทางไหน ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นถนนที่ทอดยาวไกล มีไฟส่องนำทางเป็นระยะ ความหวังในการรอดพ้นจากขุมนรกมีมากขึ้น เธอหวังว่าจะมีรถสัญจรผ่านไปมา จากนั้นเธอก็จะขอความช่วยเหลือ แต่ทว่า...
ทำไมไม่มีคนเลย ทำไมไม่มีรถวิ่งสัญจรสักคัน
นั่นคือความคิดที่ฉุกขึ้นในสมองของนันท์นภัส เธอมีความรู้สึกว่าตนเองวิ่งมาไกลแล้วและไม่มีคนตามมา แต่ทำไมยิ่งวิ่งเธอรู้สึกเหมือนกับว่า ตนเองอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ไม่มีสิ่งมีชีวิตนอกจากเธอเพียงคนเดียว สมองคิดหาคำตอบ เท้าเล็กเปล่าเปลือยที่เริ่มมีเลือดไหลออกก็ก้าววิ่งไปไม่หยุด
และแล้วความหวังของเธอก็บังเกิดขึ้น ในจังหวะที่เธอเหลียวหลังมองว่ามีรถมาหรือไม่ ดวงตาสาวปะทะกับแสงไฟหน้ารถของรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้าใสใกล้ ด้วยความที่กลัวว่าเจ้าของรถยนต์คันนั้นจะไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ หากตนเองโบกรถ คงจะมีทางเดียวที่จะหยุดรถคันนั้นได้คือ เอาตัวเข้าขวาง
เอี๊ยดดดดดด...
เสียงห้ามรถดังไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าของรถยนต์เหยียบเบรคกะทันหันตั้งแต่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกระโดดมากางมือขวางถนน ดีที่ว่ารถแล่นมาด้วยความเร็วไม่มากนัก คนขับจึงเหยียบเบรกได้ทันท่วงที
“ช่วยด้วย” นันท์นภัสเปล่งเสียงแผ่วเบาลอดผ่านปาก แล้วพอเจ้าของรถยนต์ก้าวลงมาจากรถ ร่างสาวก็รูดลงไปนอนกับพื้นทันที
“เฮ้ย!” จัสตินอุทานดังลั่น รีบวิ่งมายังร่างของสตรีที่กระโดดมาขวางทางรถ “คุณ คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาพยุงร่างของเธอขึ้นมาแล้วร้องเรียก เมื่อไม่มีการตอบรับจากสตรีปริศนา อีกทั้งยังเห็นรอยเลือดตรงเท้าของเธอ ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นคนติดตามของมาเฟียใหญ่ ทำให้จัสตินคิดว่า ต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอคนนี้แน่นอน เขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างของนันท์นภัสไปยังรถยนต์ของตนเอง ก่อนจะนำพาร่างสลบไสลไปส่งยังโรงพยาบาล
