บทที่ 2 บทที่ 2
คนเย็นชาและใจร้ายอย่างดรัณต้องกลืนน้ำลายลงคอบ่อยๆ จนรู้สึกว่าน้ำบ่อน้อยมีไม่พอดับความแห้งผากที่เกิดขึ้นมาฉับพลัน ลำคอของเขาแห้งผากเป็นผุยผงจนอยากหันหน้าหนีแล้วพาตัวเองไปให้พ้นจากตรงนี้ แต่เขาทำไม่ได้ ขามันก้าวไม่ออกเหมือนถูกมัดตรึงให้อยู่กับที่
กระทั่ง...
“อารัณ!! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พลับพลึงสปริงตัวขึ้นก็เห็นดรัณมองจ้องเธอไม่วางตา เธอจัดเสื้อผ้าเข้าที่แล้วเดินเข้ามาใกล้
“กลับมามองเธอทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบอยู่นานแล้ว” ดรัณบอกเสียงเย็นเยียบเข้าไปถึงใจพลับพลึง ดวงตาคมกริบมีเพียงความเย็นชาคล้ายจะเกลียดชังทุกคนที่เข้ามายุ่มย่ามในอาณาจักรของเขา เกลียดแม้กระทั่งเธอ คนที่เขารักเหมือนหลานในไส้
“พลับขอโทษค่ะ พลับมาหาอารัณแต่ไม่เจอ ก็เลย...”
“ออกไปให้พ้นจากบ้านของฉัน แล้วอย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับข้าวของๆ ฉันอีกเด็ดขาด” เขาไล่ตะพึด พลับพลึงไม่คิดว่าการที่เธอเข้ามาเล่นฟิตบอลโดยไม่ขออนุญาตจะทำให้เขาโกรธถึงขั้นไล่ไปให้ไกล บ่อยครั้งที่เขาทำเย็นชาไม่อยากเข้าใกล้เธอ ไม่มีแม้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ได้ยิน ไม่มีคำพูดอ่อนหวานเหมือนแต่ก่อน เธอเข้าใจและพยายามปรับตัวให้อดทนกับความเปลี่ยนแปลงชนิดสุดขั้วของเขา
“ของๆ อาอิง ทำไมพลับจะเล่นมั่งไม่ได้ อาอิงเป็นอาพลับ” เธอเถียง เป็นการกระตุกหนวดเสืออย่างห้ามไม่ได้จริงๆ ก็เขาไม่ควรจะหวงสิ่งของที่เป็นของอาสาวเธอนี่นา ถ้าเป็นคนอื่นเธอจะไม่ว่า แต่นี่เธอเป็นหลานของอิงฟ้าแล้วทำไมต้องห้าม
“แต่ฉันไม่ชอบ!!! ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับของๆ อิงฟ้า”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ พลับเป็นหลาน” พลับพลึงยังเถียง เธอต้องการเอาชนะถึงแม้จะไม่เคยชนะเขาได้มาหลายปีแล้วก็ตาม
เมื่อก่อนดรัณจะยอมลงให้เธอทุกครั้ง ไม่ว่าพลับพลึงต้องการอะไร เขาจะหาให้ได้ทุกอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เขาต้องการจากเธอ และมีเพียงเธอเท่านั้นที่ทำให้เขาได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ดรัณไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้วจริงๆ ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรอยู่ให้ไกลเขามากที่สุด เหมือนสิ่งมีชีวิตไร้ค่าเป็นแค่ขยะที่เน่าเหม็น เป็นสิ่งปฏิกูลที่ไม่ควรเข้าใกล้
“ถึงจะเป็นหลานก็ไม่ได้ ของๆ อิงฟ้าทุกชิ้นในบ้านหลังนี้ เธอจะแตะต้องไม่ได้ ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นใคร เป็นอะไรกับอิงฟ้า แค่ฉันไม่ต้องการให้เธอแตะต้องมันเท่านั้นพอ ออกไปได้แล้ว กลับไปไร่เธอซะพลับพลึง”
หญิงสาวปากคอสั่น น้อยใจที่ดรัณไล่เธออย่างกับหมูกับหมา เขาเปลี่ยนไปจนสุดขั้ว ข้อดีหายไปหมดเหลือแต่เพียงข้อเสียที่แก้ไม่หาย แต่อารัณก็ยังเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในหัวใจของเธออยู่ดี
“อารัณขี้ขลาดตาขาว อารัณขี้กลัว สิ่งที่อารัณเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้อารัณมีความสุขขึ้นมาเลย มีแต่จะทำให้อารัณทุกข์ขนัด แล้วคนที่จากไปเขาจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าอารัณยังเห็นแก่ตัวแบบนี้”
“ใช่ ฉันมันเห็นแก่ตัว รักตัวเองแล้วไง ฉันเกลียดคนอื่น เกลียดทุกคนที่เข้ามาในบ้านของฉันแล้วไง มันหนักหัวเธอตรงไหน ออกไปจากบ้านของฉันเสียที”
ปากของพลับพลึงสั่นระริกจนต้องขบเม้มให้เป็นเส้นตรง ดวงตากลมตัดพ้อต่อว่าฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำเอ่อนอง จนคนมองรู้สึกผิด แต่ความรู้สึกนั้นก็เล็กน้อยจนไม่มีน้ำหนัก ดรัณก็ยังเป็นคนเย็นชาใจร้ายเหมือนเดิม
“ออกไปได้แล้ว หรือจะให้ฉันเหวี่ยงเธอออกไปฮึพลับพลึง”
หญิงสาวไม่ยอมให้เขาจับเธอโยนออกไปแน่ วันนี้คงเป็นวันซวยที่เธอเข้ามาเจอตอนอารมณ์ร้าย เขาอาจจะเหนื่อยมากพอเข้ามาเห็นเธอเล่นฟิตบอลโดยไม่ขออนุญาตก็เลยโกรธ แต่ไม่น่าจะโกรธมากมายขนาดนี้นี่นา อย่างน้อยหากอะไรๆ เปลี่ยนไปก็น่าจะคิดถึงอดีตที่เคยมีความสุขร่วมกันบ้าง เคยยิ้มเคยหัวเราะด้วยกัน ทำไมเขาถึงลืมมันไปได้
พลับพลึงตัดสินใจเดินสวนกระแทกไหล่กว้างออกไปอย่างฉุนเฉียว อยากกระแทกให้แรงกว่านี้ถ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บกว่าเดิม เธอย่ำเท้าเร็วๆ ออกไปนอกบ้านไม้ซุงหลังงาม เห็นเจ้าพายุซึ่งเป็นม้าหนุ่มแสนพยศสีดำทมิฬแต่จะเชื่องกับคนแค่สองคนเท่านั้นก็คือดรัณกับเธอ
หญิงสาวหันไปมองค้อนคนที่อยู่ในบ้านไม้ซุงอีกครั้ง เขาไม่เห็นหรอกแต่เธอก็อดไม่ได้ แล้วตรงดิ่งเข้าไปหาพายุก่อนสปริงตัวขึ้นขี่หลังมันอย่างง่ายดาย
“ไปกันเถอะพายุ พาฉันไปให้พ้นหน้าเจ้านายของแก เดี๋ยวเขาออกมาไม่เห็นแกคงคลั่ง ดีสมน้ำหน้าอยากไล่ฉันทำไมล่ะ” ว่าแล้วก็ควบเจ้าพายุออกไปกลางไร่องุ่นอิงฟ้า
“คุณกาญ ลูกเราไปไหน” พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เจ้าของไร่รุ่งโรจน์และเป็นบิดาของพลับพลึงถึงกับเอ่ยปากถามภรรยาเมื่อไม่เห็นบุตรสาวหลายชั่วโมงแล้ว
“ก็คงอยู่ที่ไร่อิงฟ้าเหมือนเคยนั่นแหละค่ะ ลูกเราน่ะดื้อ เตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังนี่คะ”
แม่เลี้ยงกาญจนาถึงกับส่ายหน้าเมื่อพูดถึงบุตรสาวคนสวยเพียงคนเดียวของตน พลับพลึงไม่ใช่เด็กดื้ออย่างที่พูดหรอก เพียงแต่เธอมักจะทำอะไรโดยขาดความไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นึกจะทำก็ทำ ทว่าพลับพลึงก็เป็นเด็กฉลาด ออกจะฉลาดแกมโกงเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง ความซุกซนก็ต้องมีบ้างตามประสาเด็กสาวแรกรุ่น วัย 21 ปี สำหรับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงแล้วยังถือว่าเด็กอยู่มาก เป็นเด็กวัยรุ่นที่มักจะทำอะไรตามอำเภอใจ เรียกร้องเอาแต่ใจให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการ
เมื่อ 5 ปีก่อน พลับพลึงขอเข้าเรียนในโรงเรียนประจำซึ่งเป็นโรงเรียนคอนแวนต์หญิงล้วน เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง สามารถเรียนจบเพื่อจะต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้นเธอก็ขออนุญาตไปเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และอยู่หอพักจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา เธอตั้งใจเรียนเหมือนจะรีบเรียนให้จบด้วยคะแนนดีเยี่ยม เพียง 3 ปีกว่า เธอก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
เมื่อเรียนจบ พลับพลึงก็กลับมาช่วยงานที่บ้านโดยบอกว่า ขอช่วยงานในไร่ให้สนุกเต็มที่ก่อนจะหางานทำที่ตรงกับสาขาที่เรียนมา เธอเรียนจบศิลปะศาสตร์เอกวิชามัณฑนศิลป์ เมื่อจบออกมาก็ตั้งใจจะเป็นมัณฑนากรสาวซึ่งชื่นชอบการวาดรูปเป็นงานอดิเรก ฝีมือของเธอยังไม่เข้าขั้นเป็นได้แค่จิตรกรฝึกหัดและยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก ไม่ว่าเธอจะเรียนอะไรคุณพ่อกับคุณแม่ก็ยินดีส่งเสียอยู่แล้ว
