บทที่ 2 เสียงคำราม
จากนั้นทุกอย่างก็ดำมืด กระทั่งเธอมาอยู่ในกระโจมของคนที่ใครๆ เรียกขานเขาว่า แม่ทัพตง ซึ่งเขาก็คือตงเยี่ยหรง ครั้งหนึ่งเธอเคยพบเขา เป็นผู้ชายที่เธอเคยอ่านพบในหน้าหนังสือนิยาย อีกทั้งชอบเขา เรียกว่าคลั่งไคล้คงไม่ผิด จนคิดพลิกบทบาทให้ตัวละครนี้เสียใหม่ ทว่าพอได้เข้ามาอยู่ในเรื่องราวจริงๆ เป่าเหลียนกับอยากฆ่าตัวละครนี้ให้ตายด้วยสองมือเล็กๆ ของตน นั่นเพราะตงเยี่ยหรง... เป็นได้แค่ตัวร้ายที่บังเอิญดวงดีจับฉลากได้บทพระเอกก็เท่านั้น
ในขณะที่เธอกำลังเหม่อ ฝ่ายเขาก็ขยับสะโพกถี่ๆ กว่าทุกครั้ง ขณะเดียวกันได้ใช้มือข้างหนึ่ง ที่นิ้วของเขาด้านสักหน่อยคลึงอย่างหื่นกระหายที่ปุ่มเกรสซึ่งสั่นรั่วระริก สลับการบี้ย้ำๆ เป่าเหลียนตกใจ เธออยากร้องไห้ อยากถอยหนี แต่ร่างสูงใหญ่ของตงเยี่ยหรงตึงร่างเล็กกว่าให้อยู่กับเขา
สุดท้ายเสียงคำรามก็ดังติดๆ กัน ก่อนที่บางสิ่งจะฉีดพ่นเข้าไปด้านใน
อ๊ะ... โลกที่จากมาเธอเป็นหมอ ไฉนจะไม่รับรู้ว่า เขาได้มอบน้ำขาวข้นใส่ในร่างกายใหม่นี้ และนั่นอาจมีผลไม่พึงปรารถนาตามมา
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก พร้อมกันนั้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ขณะที่เธอหวิดสะอื้นไห้อีกหน พร้อมผลักร่างหนาให้พ้นตัว เสียงด้านนอกก็ดังขึ้น
“ท่านแม่ทัพ มีความผิดพลาดขอรับ เรื่องนี้ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน”
เสียงดังกล่าวแสดงความร้อนใจ เป็นตอนนั้นที่ผ้าคลุมพื้นใหญ่ถูกโยนปิดร่างบอบบางของเป่าเหลียน
นายทหารสองคนก้าวมาในกระโจม มีเสียงพูดคุยที่เบากว่าปกติ ทว่าเป่าเหลียนพอจับการสื่อสารนั้นได้ ด้วยมันเกี่ยวข้องถึงตน
“หาจนทั่วแล้ว ผ่านมาเกือบสิบวันก็ไม่พบร่างคุณชายห้า แต่มีคนเห็นเหตุการณ์ ได้บอกว่าเขาถูกทั้งธนู และไฟเผาร่าง ก่อนจะพลัดตกหน้าผา ส่วนเจ้าสาวมีคนลักพาตัวนางไป เอ่อ... ตะ แต่...”
“รีบพูดมา ข้าไม่มีเวลาให้ใครต้องมาเล่นลิ้น”
“เชลยที่เราจับตัวได้เมื่อไม่กี่วันก่อน... หนึ่งในนั้นมีเจ้าสาวของคุณชายห้าขอรับ นางมาจากสกุลซ่าง...แต่เดิมอาศัยเรือนนอก เลยไม่มีใครพบเห็นนางสักเท่าใด อีกทั้งสตินางก็หลุดหาย จึงคล้ายคนปัญญาอ่อน”
นายทหารคนหนึ่งบุ้ยใบ้ไปที่เป่าเหลียนที่มีผ้าคลุมร่างอยู่
“จงกล่าวมาให้ละเอียด”
“เชื่อว่ามีคนต้องการสังหารคุณชายห้า และโยนความผิดให้เขาเกี่ยวกับการร่วมมือกับสกุลซ่าง ที่ยามนี้ถูกจับกุมอยู่ในเมืองหลวง เพราะสนับสนุนฝ่ายฟ่านเทียนโหวกับองค์ชายสี่”
“ฮึ เสี่ยวซี มองไม่ออกหรือเขาว่าถูกหลอกให้แต่งงานกับสตรีอัปยศ และเป็นต้นเหตุให้ตนต้องเสียชีวิต”
ตงเยี่ยหรงกล่าวถึงลูกชายของตนหรือไคซี ผู้เป็นเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เข้าหอ แต่ต้องพบกับวิวาห์เลือดที่น่ากลัว
นายทหารผู้นั้นสูดลมหายใจลึกและกล่าวว่า
“สกุลซ่างย่อมต้องการให้เป็นเช่นนี้ จึงส่งคุณหนูเจ็ดของตนมายั่วยวนคุณชายห้าขอรับ สุดท้ายจึงมีงานมงคล ทั้งที่ท่านแม่ทัพไม่เห็นชอบ และสั่งให้พวกข้าขัดขวางอย่างเต็มกำลัง ทว่ามีมือที่สามได้เข้าแทรกแซง จนมีเรื่องร้าย แล้วพยายามโยนความผิดว่าเป็นฝีมือของทหารสกุลตง เพราะท่านแม่ทัพไม่เห็นด้วยที่จะสกุลซ่างกับสกุลตงเป็นดองกัน”
ตงเยี่ยหรงเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถ่องแท้ ลูกชายคนนี้หัวรั้น ไม่ฟังความ มักสร้างเรื่องเสมอ นับตั้งแต่เขาพรากอีกฝ่ายมาจากมารดา ไคซีก็ทำให้เขาต้องอบรมหนักกว่าพี่น้องคนอื่นๆ นอกจากนั้นไคซียังอ่อนหัดในการใช้ชีวิต และน่าเสียดายที่เขาอายุสั้น ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง
“สิ่งที่เจ้าจะบอกข้าก็คือ สตรีแซ่ซ่างปะปนอยู่ในกลุ่มเชลย และตอนนี้ เป็นนางรับใช้ข้าใช่หรือไม่” ตงเยี่ยหรงกล่าว
อย่างไม่อ้อมค้อม
นายทหารทั้งสองคนได้ยินแล้วพลันเข่าอ่อนทรุดลงพื้น ความผิดพลาดทั้งหมดนี้ มันเป็นเรื่องเหลวไหลโดยแท้ ราวกับเป็นกรรมเวร ด้วยผู้เป็นบิดาของเจ้าบ่าวได้หลับนอนกับสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ และนางก็คือ ซ่างเป่าเหลียน!
“แม่ทัพตงเข้าใจถูกทั้งหมดขอรับ”
ตงเยี่ยหรงคำรามเสียงห้าวใหญ่ แล้วถามเสียงเข้มชัดเจน
“มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง...” ตงเยี่ยหรงถาม ยามนั้นปลายดาบแหลมคมจ่อที่คอของนายทหารซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ยิ่งกว่านั้นเขามั่นใจว่า ทั้งหมดนี้ไม่มีความบังเอิญ และนับแต่ซ่างเป่าเหลียนพลัดหลงอยู่ในกลุ่มเชลย จนถูกจับป้ายแขวนคอเป็นคณิกา ซ้ำยังถูกส่งตัวมาที่กระโจมของเขาย่อมมีมือลึกลับเตรียมการไว้ ซึ่งอีกไม่ช้าเขาจะลากตัวมาลงโทษโดยเร็ว
พอทหารสองคนออกไป แม่ทัพใหญ่ก็มองมาที่ซ่างเป่าเหลียน ท่าทางเขาเย็นชาพอๆ กับดวงตาคมกริบคู่นั้น
“ใครบ่งการให้เจ้ามาแต่งงานกับเสี่ยวซี เป็นสกุลซ่าง หรือว่าฝ่ายของฟ่านเทียนโหว”
หัวสมองหญิงสาวว่างเปล่า นางไม่รู้สิ่งใด ราวกับยามนี้เจ้าของร่างพยายามปิดกั้นเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ นั่นคงเพราะเสียใจ ที่งานมงคลของตนทำให้เจ้าบ่าว หรือไคซีต้องจากไป
“ข้าถามว่าใครสั่งให้เจ้ามาแต่งงานกับซีเอ๋อร์”
เมื่อเห็นหญิงสาวเอาแต่เงียบ และท่าทางก็ดูแตกตื่นต่อทุกสิ่ง ตงเยี่ยหรงยิ่งรำคาญ เขาคว้าร่างบอบบางมา แล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบลำคอระหงไว้
“มีโอกาสอีกครั้งเดียว ก่อนที่กระดูกเจ้าจะหักในมือของข้า”
เป่าเหลียนกลัวในแวบแรก ก่อนจะคิดได้ว่า บางทีการมีโอกาสได้รับชีวิตใหม่ ในร่างที่ถูกย่ำยีนี้สมควรตายๆ ไปซะ ย่อมดีกว่าทนอยู่ในโลกที่ยังจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ได้ และคนผู้นี้ก็ดูเหมือนว่ามีอิทธิพลมากยิ่ง
หางตาของเธอมีน้ำอุ่นใสไหล และการร้องไห้นั้น ทำให้ตงเยี่ยหรงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สงสาร ด้วยน้ำตาของสตรีล้วนเป็นการแสร้งทำเพื่อเอาตัวรอดจากความผิด





















