บทที่ 4 4
“ตื่นเช้าเหมือนกันนะหนู” หญิงวัยกลางคนเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“ตื่นเต้นแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืนค่ะคุณน้า” หญิงสาวตอบ
“เป็นธรรมดา น้าเข้าใจ ป่ะ ลงไปหาอะไรกินกันก่อน น้านัดคิวคุณหมอที่โรงพยาบาลไว้แล้ว สิบโมงต้องไปถึง”
“ค่ะ” เอมวิกาเดินกระย่องกระแย่งตามติดหญิงสูงวัยลงบันได สีหน้าของเธอคงจะบอกอะไรให้อีกฝ่ายได้รู้ ถึงห้องโถงชั้นล่างคุณระย้าก็หยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้
“ไม่ต้องกลัวนะ อย่างที่น้าบอกนั่นแหละ ถ้าไม่ได้งานหนูก็จะได้ค่าเสียเวลา แต่ถ้าได้งานหนูก็จะอึดอัดใจสักปีหรือปีกว่าๆ จากนั้นก็จะสบาย ไม่ต้องลำบากเรื่องเงินทองเหมือนทุกวันนี้”
“เอมก็อดคิดไม่ได้หรอกค่ะคุณน้า บอกตามตรงว่ากังวล”
มืออวบของคุณระย้ากอบกุมมือหญิงสาวไว้แน่น “อย่าคิดในเรื่องของวันพรุ่งนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ในเมื่อเราตัดสินใจที่จะทำก็ลุยและเดินหน้าต่อไป ถ้าจะล้มก็ให้พร้อมลุกขึ้นเพื่อสู้ใหม่ ให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้ เมื่อกำลังใจมีอะไรๆ มันก็จะดีขึ้นตามไปด้วย”
“ขอบคุณค่ะคุณน้าที่สั่งสอน”
หญิงสูงวัยยิ้มกว้าง “น้าไม่ได้ช่วยอะไรหนูเลยนะ หนูต่างหากที่ต้องช่วยตัวเอง สู้ๆ จ้ะ”
เอมวิกายกมือไหว้ ขยันมืออ่อนไว้แม่เธอเคยสอน “ขอบคุณค่ะ”
“น้ายินดีที่จะสอนและเป็นกำลังใจให้เสมอ ถ้าหนูจะไม่รำคาญ ป่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้คุณยายคงรอแล้วแหละ”” คุณระย้าโอบกอดเอวคอดแล้วพากันเดินตรงไปยังห้องอาหารที่อยู่เยื้องไปทางหลังบ้าน “ชอบบ้านนี้ไหมหนู”
“ชอบค่ะ บ้านสวยมาก หลังกะทัดรัด เอมชอบ ใฝ่ฝันว่าจะมีแบบนี้สักหลัง แพงมากไหมคะคุณน้า”
“ก็…แพงนะ” ตอบไปแล้วเห็นเด็กสาววัยคราวลูกหน้าเสียก็ให้รู้สึกเวทนา “แพงเพราะอยู่ในกรุงเทพด้วยแหละ อยู่ที่นี่ก็คิดเสียว่าบ้านนี้เป็นบ้านของหนูไปก่อนนะ ทำใจให้สบายๆ”
“ค่ะคุณน้า”
เดินเลี้ยวหัวมุมมาอีกไม่กี่ก้าว ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ในส่วนหนึ่งของห้องอาหารที่มีประตูเชื่อมติดกับห้องครัว
“อ้อ ลงกันมาแล้วเหรอ” คุณปรุงจิตกำลังจัดโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งคู่ “กำลังจะขึ้นไปตามอยู่แล้วเชียว”
“วันนี้มีอะไรกินคะแม่”
“มีข้าวต้มไก่”
“ดีค่ะ ขอสองชามเลยนะคะเผื่อหนูเอมชามหนึ่ง” คุณระย้าเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เห็นเอมวิกาไม่ตามมานั่งก็เงยหน้าขึ้นไปมอง “หนูเอมไม่ต้องไปช่วยคุณแม่ของน้าหรอก มานั่งนี่เถอะ”
“แต่เอมอยากช่วย นะคะคุณยาย”
คุณปรุงจิตเหลือบตามองคุณระย้าแล้วหันมาพยักหน้าให้หญิงสาว “ขอบใจจ้ะแม่หนู งั้นช่วยไปหยิบถ้วยตรงชั้นมาให้ยายหน่อย”
“ได้ค่ะคุณยาย” เอมวิกาเดินไปหยิบถ้วยมาสามใบวางบนโต๊ะรอหญิงชราตักข้าวต้มใส่ เธอทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นห๊อมหอม คุณยายทำน่ากินจัง”
“น่ากินก็กินเยอะๆ จะได้มีแรงต่อสู้กับอุปสรรคในวันนี้และวันต่อๆ ไป” หญิงชราพูดน้ำเสียงเนิบนาบ นางรู้พอๆ กับที่ลูกสาวรู้ แรกๆ ที่เห็นหน้าก็คิดว่าคงเป็นผู้หญิงใจแตกที่ชอบเงิน อยากได้ของใช้แบรนด์เนม แต่เมื่อคืนได้คุยกับคุณระย้าจึงรู้ถึงความจำเป็น วิถีการมองจึงเปลี่ยนไป
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
“มานั่งกินกับน้าตรงนี้เถอะหนูเอม กินเสร็จแล้วจะได้ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เสื้อผ้าอีกสักครู่คงจะทยอยมาส่ง”
หญิงสาวตาโต “เสื้อผ้าอะไรหรือคะ”
“อ๋อ เสื้อผ้าหนูเอมนั่นแหละจ้ะ เจ้านายของน้าท่านให้เป็นของขวัญสำหรับผู้หญิงที่เอ่อ” หญิงสูงวัยเลือกใช้คำพูดไม่ถูก จะพูดไปตรงๆ ก็กลัวอีกฝ่ายคิดมาก จะพูดอ้อมค้อมก็คิดคำไม่ออก
“เป็นอภินันทนาการสำหรับผู้หญิงที่เจ้านายของคุณน้าเขาจ้างมาเป็นแม่ของลูกหรือคะ” เอมวิกาชิงพูดเสียเอง
“อ่า ก็ทำนองนั้นแหละจ้ะ ท่านชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดี สะอาด”
หญิงสาวพยักหน้า เธอเข้าใจที่คุณระย้าพูดมาทุกอย่าง คนมีเงินส่วนมากก็เป็นแบบนี้ “คุณน้าบอกท่านไปเถอะค่ะ อย่าสั่งมาให้เยอะเลย เผื่อเอมไปตรวจแล้วผลออกมาไม่ตรงตามข้อกำหนด ท่านจะเสียเงินฟรี”
คุณระย้าหันไปมองมารดาที่นั่งก้มหน้าตักข้าวต้มใส่ปากเฉยเหมือนไม่ได้สนใจที่เธอกับเอมวิกาคุยกัน แต่เธอรู้ว่าคุณปรุงจิตกำลังกางหูฟังเต็มที่
“หนูจะคิดมากไปทำไม ในเมื่อท่านของน้าออกจะรวยล้นฟ้า จ่ายค่าเสื้อผ้าเท่านี้ขนหน้าแข้งท่านไม่ร่วงหรอกจ้ะ”
“เอมรู้ค่ะว่าเงินไม่ใช่ปัญหาของคนรวย แต่เอมไม่ใช่ว่าจะอยากเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวหรอกนะคะ ถึงจะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรี” ประโยคหลังแผ่วเบา “แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีเริ่มน้อยลงแล้วค่ะ”
“จ้ะๆ น้าเข้าใจ มาจ้ะเรารีบกินข้าวกันเถอะจะได้รีบไปทำธุระกัน ผลจะออกมายังไงจะได้เลิกคิดกังวลและสงสัย”
เอมวิกาก้มหน้าตักข้าวต้มรสเลิศในชามใส่ปาก เธอไม่เคยกินของอร่อยอย่างนี้มาก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส อยากให้แม่กับน้องได้กินกันสักครั้ง อยากให้ทุกคนกินเหมือนกันกับเธอ แต่จะมีโอกาสนั้นไหมหนอ
เอาเถอะ รอก่อนนะแม่จ๋า ถ้าเอมกลับบ้านพร้อมกับเงินก้อนโต เอมจะพาแม่กับน้องไปเลี้ยงให้อิ่มแปล้เลย
หญิงสาวคิดถึงความฝันที่จะมีเงินด้วยความสุขใจ ก่อนจะลุกเก็บถ้วยไปล้างแล้วขอตัวขึ้นไปอาบด้วยใบหน้าที่ดีกว่าเมื่อแรกตื่นนอน
คุณปรุงจิตมองตามไปด้วยความกังวล นางหันมามองลูกสาวแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า คุณระย้ารู้ดีว่าสายตามารดาสื่อถึงอะไร แต่เธอไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่หวังว่าเจ้านายของเธอจะเมตตาเด็กสาวบ้าง สักนิดก็ยังดี
