บทที่ 8 เบรกไม่มี

ด้านคนที่กำลังโมโหเพราะเจอคู่แข่งที่สูสีเข้า รีบกดมือถือหาคนสนิทให้มาพบที่ห้องนอนของตน

“บอสจะให้ผมทำอะไรครับ” ไทเลอร์มองดูสีหน้าดุดันของผู้เป็นนายอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายจะไปมีเรื่องกับใคร

“แกไปตามดูน้องแพรกับไอ้หน้าจืดนั่น ว่าทำอะไร อยู่ตรงไหนของไร่ แล้วโทร. มารายงานฉัน ” เสกสรรสั่งการ พลางคาดโทษสาวเจ้า ที่ดูจะระริกระรี้ออกไปกับอีกฝ่าย

“ไอ้หน้าจืดนั่น... ใครหรือครับบอส ?” ไทเลอร์สงสัยขึ้นมาตงิดๆ

“ก็ไอ้น่านนาวาไง ” เสกสรรตอบกลับเสียงดังอย่างไม่พอใจ

“แต่ผมว่าคุณน่านนาวาไม่ได้หน้าจืดนะครับบอส ออกจะหล่อคมเข้มซะด้วยซ้ำ ” ไทเลอร์แสดงความคิดเห็น

“อ๊ะ  ไอ้นี่วอนอยากเจ็บตัวหรือไง ” เสกสรรหันมาต่อว่าคนสนิทที่บังอาจชมคู่แข่งหัวใจ ‘เปลี่ยนมือขวาซะดีไหมวะ ’

“โอเคครับ  อีกสิบนาทีผมจะโทร. มารายงานครับ” ไทเลอร์บอกเสร็จก็รีบออกจากห้องไปก่อนที่จะได้รางวัลจากผู้เป็นนาย

สิบนาทีต่อมา...

“ว่าไงเจมส์  น้องแพรกับไอ้หน้าจืดทำอะไรอยู่ ” เสกสรรเอ่ยถามทันทีที่คนสนิทกดรับสาย

“เอ่อ...ผมยังไม่ได้ไปครับบอส” ไทเลอร์ตอบเสียงอ่อยๆ

“ฮะ  แล้วมึงมัวทำอะไรอยู่วะ ” เสกสรรตะโกนถามอย่างโมโห ก่อนจะรีบเดินไปดูที่หน้าต่างด้วยอารมณ์เดือดๆ

“อะ...เอ่อ คือว่าผมหาเกียร์ว่างยังไม่เจอครับบอส” ไทเลอร์กลั้นใจสารภาพไปตรงๆ ไอ้ครั้นจะถามคนงานที่เดินผ่าน ก็รู้สึกกระดากอาย

“มึงว่าอะไรนะ ” เสกสรรถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ ทำเอาปลายสายถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“คะ...คือตอนนี้ ผมใกล้จะหาเจอแล้วครับ” คนที่ไม่รู้ว่าเกียร์ไหนเป็นเกียร์ไหน ยิ่งสับก็ยิ่งมึนงง เห็นแต่ไฟสีเขียววิ่งผ่านเลยตัว N ไปมา

“ไอ้เจมส์ มึงมองขึ้นมาที่ห้องกูซิ ” เสกสรรเอ่ยขณะจ้องมองคนสนิทผ่านหน้าต่างบานใหญ่ด้วยสายตาดุดัน

“มะ...มีอะไรครับบอส” ไทเลอร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นสีหน้าอำมหิตของผู้เป็นนายจ้องมองมาที่ตนอย่างไม่วางตา

“มึงฟังนะ  ถ้ากูลงไปถึงข้างล่างนั่น แล้วมึงยังคร่อมไอ้มอเตอร์ไซค์คันนั้นอยู่...มึงตาย ” เสกสรรคาดโทษอย่างโมโห

“ว้ากกกก” ไทเลอร์กรีดร้อง รีบลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วหันไปคว้าจักรยานที่จอดอยู่ใกล้ๆ จูงวิ่งเข้าไร่ไปราวกับคนเสียขวัญ

“พระเจ้า  อย่าบอกนะ ว่าจักรยานมึงก็ขี่ไม่เป็น” เสกสรรกลอกตาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะรีบเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสาม เมื่อนึกถึงห้องดูวิวขึ้นมาได้

ผัวะ

เสียงกระชากประตูห้องดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังสนทนากันอยู่ตกใจ หันไปมองที่ประตูพร้อมกัน

“อะ...อ้าว  คุณยายกับคุณนวลอยู่ที่ห้องนี้เหรอครับ ” คนที่เปิดประตูพรวดเข้ามาปรับสีหน้าแทบไม่ทัน เมื่อเห็นผู้ใหญ่กำลังส่องกล้องดูวิวในไร่

“มีอะไรหรือต้อม” เพียงดาวมองหลานชายอย่างคาดเดา

“พอดีต้อมอยากจะเห็นวิวในไร่น่ะครับ” เสกสรรทำสีหน้ายิ้มแย้ม

“ขอยายส่องดูหนูแพรกับพ่อนาวาแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ” นวลจันทร์บอก ก่อนจะหันไปส่องกล้องต่อ

“นั่นไง  เจอแล้ว พ่อนาวากับหนูแพรอยู่ที่ไร่องุ่นจ้ะเพียง” นวลจันทร์บอกอย่างดีใจ

“อ้าว  ที่แท้อยู่ที่ไร่องุ่นหรอกเหรอ” เพียงดาวสังเกตเห็นหลานชายเริ่มหน้าตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน

“เอ่อ...ขอต้อมใช้กล้องสักครู่ได้ไหมครับ พอดีใช้เจมส์ไปทำธุระในสวนส้ม ไม่รู้ว่าไปถูกหรือเปล่า” เสกสรรเอ่ยขออนุญาตด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟ

“ได้จ้ะ” นวลจันทร์ถอยออกจากกล้องด้วยสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ขอบคุณครับ” เสกสรรโปรยยิ้มหวานๆ แทนคำขอโทษที่เสียมารยาท

‘หึ  ให้ไทเลอร์ไปทำธุระที่สวนส้มงั้นเหรอ ? ช่างเป็นคำโกหกที่น่าสมเพชจริงๆ’ เพียงดาวยกยิ้มมุมปากอย่างขบขัน

เสกสรรส่องกล้องไปทางไร่องุ่น มองหาจุดหมาย แต่ก็มาสะดุดเข้ากับมือขวาที่กำลังปั่นจักรยานหน้าตั้งลงเนินไปด้วยความเร็ว

‘ขอบคุณพระเจ้าที่มันก็ขี่จักรยานเป็น’ เขากลอกตา ก่อนจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นคนสนิทขี่จักรยานผ่านไร่องุ่นไปแบบไม่คิดจอด

‘มันไปทำห่าอะไรที่สวนแก้วมังกรวะ ?’ เสกสรรถามตัวเองอย่างมึนงง

ห้านาทีก่อน...หลังจากที่จูงจักรยานวิ่งมาได้สักพัก ไทเลอร์ก็หยุดวิ่งแล้วถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมกูไม่ขี่มันวะ ? จะจูงวิ่งมาทำห่าอะไรเนี่ย เหนื่อยฉิบหาย ”

ชายหนุ่มขึ้นขี่จักรยานแล้วปั่นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเข้ากับดาวเรือง จึงสอบถามถึงแพรลานนา

‘คุณแพรไปสวนองุ่นปู้นเจ้า’ หลังจากที่ทราบคำตอบไทเลอร์ก็ไม่รอช้า จัดการใส่เกียร์หมา เอ๊ย!  เกียร์ห้าของจักรยานเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้น

ชายหนุ่มปั่นลงเนินที่ลาดชันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงไร่องุ่น ก็เหลือบไปเห็นแพรลานนากับน่านนาวา จึงกำเบรกข้างซ้ายและขวาเพื่อจะหยุดจักรยาน แต่ทว่า...เขากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเบรกข้างซ้ายหรือข้างขวา ชายหนุ่มเบิกตากว้าง จ้องมองอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของไร่ ราวกับจะฝากชีวิตเอาไว้ที่นั่น

“พระเจ้า เบรกไม่มีโว้ยยยยย ”

คนงานในไร่ต่างพากันมองตามจักรยานที่ขี่ผ่านไปด้วยความเร็ว จากไร่องุ่นมุ่งสู่สวนแก้วมังกร กับสีหน้าตกใจของฝรั่งตัวใหญ่ที่แหกปากกรีดร้องเสียงดังมาตลอดทาง

“ม่ายยยย...”

ตู้ม

ห้าวินาทีโดยประมาณ...คือเวลาที่ไทเลอร์ได้เตรียมใจ ก่อนที่จะเหาะลงไปอยู่ในอ่างเก็บน้ำของไร่พร้อมกับจักรยาน

เรือนใหญ่...

“ไอ้บ้าเอ๊ย ” เสกสรรเผลอสบถออกมาเสียงดังอย่างหัวเสีย กับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะงามไส้ของคนสนิท ทำเอาเพียงดาวกับนวลจันทร์ที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“มะ...เมื่อกี้ พ่อต้อมว่าอะไรนะ” นวลจันทร์เอ่ยถามหลานชายของเพื่อนด้วยเสียงสั่นๆ กับประโยคสุดคลาสสิกที่ได้ยินเมื่อครู่

“เอ่อ...คือต้อมพูดว่า อากาศดีเป็นบ้าเลยน่ะครับ” เสกสรรตีหน้ายิ้มๆ กลบเกลื่อนทันใด

ด้านเพียงดาวได้ยินคำแก้ตัวของหลานชายถึงกับส่ายหัวน้อยๆ อย่างเอือมระอา ‘ยังแถไปได้อีกนะนั่น ’

“ใช่จ้ะ  วันนี้อากาศดีจริงๆ” นวลจันทร์รีบสำทับ

“เอ่อ...ผมขอตัวก่อนนะครับ ดูเหมือนคนสนิทของผมจะไปสวนส้มไม่ถูกจริงๆ”

“จ้ะ” นวลจันทร์ยิ้มบางๆ ขณะมองตามหลังชายหนุ่มที่เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป คล้ายว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น

“แหม พ่อต้อมนี่มารยาทดีจังนะเพียง” นวลจันทร์เอ่ยชม

“จ้ะ” เพียงดาวจุกหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เพราะหลานชายนั้นดูจะห่างไกลจากคำว่ามารยาทดีไปสามกิโลเมตรเห็นจะได้

เสกสรรเดินแกมวิ่งลงมายังชั้นล่าง ตรงไปยังมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่คนสนิทหาเกียร์ไม่เจอ ร่างสูงตวัดขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว ก่อนจะกดสตาร์ตเครื่องแล้วบีบคลัตช์เข้ามา สับเกียร์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์ พร้อมกับบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ก็ทะยานออกตัวไปด้วยความเร็ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป