บทที่ 3 มีสามีแถมมาอีกหนึ่งคน 2
ร่างบอบบางเดินกลับมายังหน้าบ้าน ซึ่งเห็นเด็กน้อยสองคนนั่งเล่นดินกันอยู่ เมื่อเห็นนางเด็กน้อยก็ตาเป็นประกายลุกขึ้นวิ่งมาหาทันที
“ท่านแม่ เมื่อครู่ป้าหวังมาหา บอกว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองจะไปด้วยหรือไม่ขอรับ”
ฟางเหนียงมองลูกคนเล็กที่พูดจาฉะฉานด้วยรอยยิ้ม ยิ่งได้ยินว่าเข้าเมือง ยิ่งเหมือนนางจะโชคดี แค่คิดก็จะมีคนพาไป แต่เมื่อคิดอะไรได้รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไป นางย่อตัวมองก้อนแป้งแฝดตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างเคอะเขิน
“คนเก่งของแม่ ช่วยบอกแม่หน่อยว่าป้าหวังคือใครขอรับ”
“ป้าหวังลี่อยู่ตรงข้างบ้านเราตรงนู้นขอรับ” ฟางเหรินคนพี่เอ่ยบอกพร้อมชี้นิ้วไปทางซ้ายมือ ก่อนจะหันกลับมามองมารดาของตนเอง
วันนี้ตั้งแต่มารดาตื่นมาก็ดูจะแปลกไป และยังทำอาหารอร่อยให้กินอีกด้วย และวันนี้พวกเขาทั้งสองยังไม่โดนมารดาต่อว่าสักคำ นั่นทำให้รู้สึกดีมาก ๆ ดวงตากลมโตมองมารดาจึงสว่างสดใสกว่าทุก ๆ วัน
“ขอบใจเจ้ามาก ว่าแต่ปกติแม่ออกไปพวกเจ้าอยู่กับใคร”
ฟางเหนียงลูบหัวคนพี่เบา ๆ พร้อมเอ่ยถามอีกเรื่องเพราะนางคงไม่อาจพาเด็กน้อยไปด้วยได้ เพราะข้าวของที่ซื้อน่าจะเยอะพอสมควร อีกอย่างนางยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ จึงยังไม่อยากนำก้อนแป้งไปด้วย
“ท่านปู่ขอรับ” ฟางเหรินเอ่ยตอบสีหน้าลังเล เพราะรู้ว่าบ้านของพวกเขาแยกกับบ้านใหญ่มานานแล้ว และสีหน้าของเด็กน้อยก็ทำให้ฟางเหนียงสังเกตได้
“ทางนั้นเขาไม่ดีกับลูกหรือ”
“ท่านปู่ไม่ได้ว่าเรา แต่ว่าท่านย่ากับป้ารองจะว่าเราแยกบ้านกับสกุลฟางแล้วไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันขอรับ” ฟางหรงเอ่ยตอบ สีหน้าบูดบึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่บ้านของท่านย่า
“ท่านแม่เรารออยู่บ้านก็ได้ พวกเราโตแล้ว”
“ใช่ขอรับ”
ฟางหรงตอบรับพี่ชายฝาแฝดอย่างเห็นด้วย ฟางเหนียงมองก้อนแป้งน้อยที่รู้ความอย่างรู้สึกผิด ที่ผ่านมามารดาคงไม่ได้ดีกับทั้งคู่นัก ดูได้จากท่าทางที่ยังหวาดระแวง กลัวจะโดนดุนั่น อีกทั้งเสื้อผ้าเด็กน้อยก็เก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงแล้ว นางลูบศีรษะอย่างปลอบโยน
“เดี๋ยวแม่จะคิดวิธีอีกที ว่าแต่เรามีไร่นากับเขาหรือไม่” คำถามของฟางเหนียงทำให้เด็กน้อยทั้งสองมองตามอย่างมึนงง
“มีขอรับ แต่ท่านแม่ไม่ได้ไปนานแล้ว หญ้าน่าจะสูงกว่าตัวพวกเราแล้วขอรับ”
ฟางเหรินเอ่ยบอกตาแป๋ว พวกเขาเคยไปเที่ยวเล่นบ่อย ๆ ตอนมารดาออกไปในเมือง ชาวบ้านยังบ่นอยู่เลยว่าปล่อยพื้นที่ให้คนอื่นเช่ายังได้ประโยชน์มากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมารดาถึงไม่ปล่อยให้คนอื่นเช่า แต่ปล่อยเอาไว้จนป่ารกชัฏแบบนั้น
“พวกเจ้าพาแม่ไปดูได้หรือไม่”
ฟางเหนียงเอ่ยถาม เมื่อเงยหน้ามองฟ้าแล้วน่าจะกลับมาทันก่อนมืดค่ำ เด็กน้อยก้อนแป้งอายุราวสี่ขวบแต่กลับฉลาดเฉลียว หากนางเป็นมารดาจริงคงภูมิใจมาก แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้นางก็เป็นแม่ของก้อนแป้งคู่นี้ไปแล้วจริง ๆ ในเมื่ออาศัยร่างเขายังไงก็ต้องเลี้ยงดูลูกเขาด้วย แต่ว่าสามีนั่น ช่างเถอะ ค่อยคิดอีกที
“ได้ขอรับ”
ทั้งคู่ตอบรับ พร้อมเดินนำไปยังที่ไร่ที่นาของพวกเขาฟาง-เหนียงเดินตามร่างเล็กนั่นมาหนึ่งก้านธูปกว่าจะมาถึงที่ไร่ ซึ่งมันรกมากจริง ๆ นางเพียงลำพังคงไม่อาจทำให้พื้นที่แถวนี้กลับมาเพาะปลูกได้
เห็นทีต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้จ้างคนในหมู่บ้านมาตัดถางหญ้า และรื้อฟื้นผืนไร่ผืนนาแห่งนี้ มองดูคร่าว ๆ ประมาณสิบสองหมู่ (5 ไร่) ไม่มากมายแต่ก็เลี้ยงครอบครัวได้หนึ่งปีพอดี
“กลับบ้านกันเถอะ”
ฟางเหนียงเอ่ยชวนเมื่อสำรวจพื้นที่จนพอใจ ด้านหลังไร่นาจะเป็นทางไปภูเขานางมองอย่างสนใจหวังว่าที่นั่นจะมีอะไรดี ๆ แต่วันนี้คงต้องกลับบ้านไปวางแผนชีวิตครอบครัวก่อน
ส่วนเรื่องที่จะไปสำรวจบนเขาคงต้องให้นางเรียนรู้ที่นี่เพิ่มขึ้นมาสักนิดเสียก่อน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางเหนียงจึงปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันอยู่หน้าบ้านก่อน จากนั้นจึงไปทางบ้านป้าหวังเพื่อนบ้านที่จะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนางเป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหยาบ ๆ ราคาถูก
“เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลยข้าจะเอามันป่าไปให้พอดี”
ฟางเหนียงมองสำรวจอย่างระวัง ก่อนจะส่งยิ้มให้
“ขอบคุณป้าหวัง ข้าว่าจะถามว่าพรุ่งนี้เดินทางเวลาใด”
“ยามเหม่า[1]เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่ครั้งนี้เราต้องเดินไป เพราะบ้านตระกูลเหอไม่ให้เรายืมรถเกวียนวัวแล้ว”
ป้าหวังพูดอย่างขัดใจ แต่ไม่ออกไปก็ไม่ได้เพราะข้าวของหลายอย่างที่ต้องซื้อ อีกอย่างลูก ๆ ของนางก็ไม่ได้กินอะไรดี ๆ มาเป็นเดือนแล้ว
แต่เมื่อมองสีหน้าอ่อนโยนของฟางเหนียงแล้วต้องประหลาดใจ นางไม่ร้องโวยวายอย่างเคยและนางก็รู้สึกแปลก ๆ ใบหน้างดงามนั่นยังเป็นฟางเหนียงคนเดิม แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกนั่นทำให้รู้สึกหวาดหวั่น แม้อีกฝ่ายจะพูดจาอ่อนโยน แต่ไม่รู้ทำไมนางรู้สึกผิดแปลกไป จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ เดินทางตั้งสามสิบลี้ ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วยาม”
[1] ยาม เหม่า เท่ากับเวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น.
