บทที่ 3 เบ๊เล่าเรื่อง (3)
ขุนน้ำ (เล่าเรื่อง)
“เอาน่า ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้ อย่าปล่อยให้ผอมไปกว่านี้ เดี๋ยวไม่น่ารัก รู้ไหม ”
เขาว่าพร้อมกับยื่นมือมายีผมฟูเส้นเล็กของผม และทุกคนคงชอบมันมาก เวลาผมอยู่ใกล้ใครพวกเขามักจะอดไม่ได้ที่อยากสัมผัสมัน แต่มือใหญ่ๆ ของผู้ชายมันให้ความรู้สึกที่ประหลาด อบอุ่นและชวนให้ใจสั่น
“รู้ตัวไหมว่าผมเรานุ่มมาก”
“แหะๆ มันคือคุณสมบัติดีเด่นในตัวผมครับ ใครๆ ก็ว่างั้น”
พี่โจมองผมตาโต ก่อนหัวเราะพรืดใหญ่ “ยกหางไม่ได้เลยนะเจ้าขุนน้ำ”
“ก็ผมไม่หล่อเหมือนพี่นี่ครับ เวลาถูกชมต้องรีบรับเอาไว้ก่อน”
ผมว่าแล้วก็นึกเขินตัวเองและคนหล่อจัดตรงหน้ายิ้มกว้างจนคราวนี้ตาหยี
“เฮ้อ ถ้าพี่หล่อจริง ป่านนี้คงมีแฟนไปนานแล้วละ” เขาว่าเสียงเศร้าจนผมอยากสวมกอดเพื่อปลอบขวัญ
“ไม่หรอกมั้ง ผมได้ยินมาว่า สาวๆ ทั้งมหา’ลัย จ้องพี่ตาเป็นมัน แถมข้างนอกอีกใครเห็นก็ต้องอยากจับพี่ทั้งนั้น”
“เฮ้ย ‘จับ’ เลยหรือ พูดซะน่ากลัว พี่ไม่ใช่ตุ๊กตานะ จะได้ให้ใครอุ้มและจับไปปู้ยี้ปู้ยำได้ง่ายๆ แต่ที่โสดอยู่อย่างนี้ก็เพราะ...รอคนที่แอบรักเปิดใจอยู่”
ไม่รู้ว่าทำไมประโยคตอนท้ายของเขาเหมือนกำลังหยั่งเชิงทดสอบความรู้สึกผมพิกล กระนั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้าตามที่พี่เขาพูด และไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอีกด้วยใกล้ถึงเวลานัดกีกี้กับจักจั่นที่ใต้ตึกของคณะฯ
“ตั้งใจเรียนนะเรา และเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่าเพิ่งไปสนใจให้มาก เดี๋ยวอกหักขึ้นมามันจะกระทบการเรียนเสียเปล่าๆ อานพกำชับพี่นักหนาว่าขุนยังเด็กอยู่มากต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”
ที่เขาพูดหมายถึง คุณนพพร บิดาผม ทำให้ผมอายหน้าแดง
“หือ...พ่อเผาผมขนาดนี้ให้พี่ฟังเลยหรือ”
“เฮ้ย! อานพไม่ได้เผา แค่เล่าให้พี่ฟังและจากที่สังเกตเรา พี่ก็รู้ว่าเนื้อหอมมาก โดยเฉพาะกับ...” เขาหยุดไว้แค่นั้นราวกับจงใจให้ผมคิดหาคำตอบเอง
ผมมองเขาเต็มสองตา ตั้งแต่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมสัมผัสได้ว่าพี่โจมุ้งมิ้งกับผมมากขึ้น บางที ผมอดเผลอไผลปิ๊งเขาไม่ได้ ก็พี่เขาหล่อ และหากผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมเชื่อว่าพี่เขาต้องให้ท่าผมอยู่แน่เลย
“เอ่อ...พี่โจครับ ผมมีนัดกับเพื่อน ยังไงขอบคุณมากๆ นะครับ สำหรับขนม ผลไม้ และเนยถั่ว”
ผมบอกเขาและยกมือไหว้อีกครั้ง คราวนี้ พี่โจรีบยื่นมือมากุมมือผมไว้ พร้อมเอ่ยว่า
“ถ้าไหว้บ่อยๆ แบบนี้ พี่คงกลายเป็นตาแก่แน่ๆ” เขาหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
ผมยิ้มตาม ก่อนที่หางตาจะเห็นร่างใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นตีนเป็ด ใบหน้าอีกฝ่ายยุ่งมาก คล้ายกับว่ามีเรื่องไม่พอใจอย่างหนัก
“เอ คนนั้นใช่เพื่อนเราไหม”
“อ๋อ ไอ้กะทิ คิงคองเผือกประจำภาควิชาผมเองครับพี่โจ”
ผมหันไปมองมันเพียงแวบเดียว เพียงแค่นั้นใจก็เต้นตึกตัก ไอ้ทิ
มันใส่กางเกงขาสั้นสีดำ และขายาวๆ ซึ่งมีผิวขาวอมชมพูของมันก็ตัดกับ
สีกางเกงชนิดที่อยู่ห่างเกือบห้าสิบเมตร ผมยังสัมผัสได้ถึงพลังคุกคามอย่างรุนแรงที่มันส่งต่อมาถึงหัวใจผม
“อื้อฮึ ตัวโตดี เออ...ยังไงพี่กลับคณะก่อน มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกันวันหลัง”
ผมไม่ได้หันไปมองทิวาอีกครั้งด้วยใจยังโกรธมันอยู่ ก่อนหน้านี้ ผมเคยไปง้อแล้ว แต่กลับถูกด่าชุดใหญ่ แถมยังลงโทษผมอย่างหนักด้วยการไม่ให้ยืมสมุดเลกเชอร์และเทผม ไม่ยอมให้เข้ากลุ่มทำงานด้วย
“ถ้ามึงไม่อยากสอบตก ก็หัดใช้รอยหยักในสมองที่มีอยู่น้อยนิดทำเองเสียบ้าง”
ทิวาเกรี้ยวกราดใส่ผม ดวงตาคมๆ คล้ายส่งรังสีพิฆาตแผ่ขยายออกมา
“ได้! อย่าคิดว่ากูจะง้อ กูขอยืมคนอื่นก็ได้”
“ฮึ สมองมีแค่นี้สินะ มิน่าถึงคิดอะไรไม่เป็น”
“มึงจะปากดีไปแล้ว ดูถูกคนอื่นตลอด คิดหรือว่าทำตัวแบบนี้แล้วจะมีคนคบ”
“ไม่มีใครคบ กูไม่เดือดร้อนเหมือนมึง คนอะไร อยู่เฉยๆ ไม่เป็น ชอบ ‘แรด’ และเรียกร้องความสนใจ”
ผมอ้าปากค้าง ทิวามันเคยด่าผมอยู่หลายหน ด่าจนผมชินนั่นแหละ แต่คำว่า ‘แรด’ เมื่อครู่ทำให้ผมเจ็บจี๊ดที่หัวใจ จนน้ำตาตกใน
“ไอ้สัดทิ ทำไมมึงต้องว่ากูแรงๆ อย่างนั้นด้วย”
ผมเชิดหน้าสูง กลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้อย่างลำบาก กลัวเหลือเกินว่าน้ำตาจะไหลออกมา และถ้ามันเห็น ผมคงเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ
“คนอย่างมึงถ้าไม่ใช้ไม้แข็งคงไม่สำนึก ถ้ายังคิดว่ากูเป็นเพื่อน
มึงก็เลิกขายกูให้คนอื่น และหัดจำเอาไว้ว่า มึงยังไม่รู้จักกูดีพอ”
ผมรู้ว่ามันโกรธมาก แต่ผมจะไม่เป็นฝ่ายไปง้อมันก่อนอีกแล้ว คิดว่าห่างกันสักพักเดี๋ยวไอ้กะทิน้ำข้นคงหายงอนเอง และผมสัญญาไว้แล้วว่า หากมันไม่ตามมาขอเกี่ยวก้อยก่อน ผมจะไม่มีวันเสียเหลี่ยมยอมเดินไปขอโทษมันแน่นอน
