บทที่ 2 วิกฤตของตระกูลหลี่ 1

โครม!

เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ

“บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล

“เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด”

เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้

“ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี”

“พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ”

“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

“สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่”

ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน

“ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ”

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่ยวกับเรื่องการค้า ก็คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”

“อย่างไรเสียระหว่างนี้ข้าจะรีบปล่อยสินค้าที่มีอยู่ กำไรที่ได้คงพอค่าใช้จ่ายในเดือนนี้ อีกทั้งยังสามารถคืนค่ามัดจำให้ลูกค้าได้หลายคนอยู่ขอรับ”

“ดี เจ้ารีบไปดำเนินการเสียให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องการเจรจากับลูกค้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าหวังว่าลูกค้าเก่าแก่คงจะเห็นใจร้านค้าตระกูลหลี่ของเราอยู่บ้าง”

“ขอรับนายท่าน” หลิวจินหูรีบสาวเท้าออกไปจากห้องทำงานเพื่อดำเนินการ ตามแผนในทันที

เมื่อผู้ช่วยคนสนิทก้าวพ้นธรณีประตู หลี่เค่อทรุดร่างลงบนเก้าอี้เสมือนดั่งคนสิ้นเรี่ยวแรง เขากวาดสายตาไปบนสมุดบัญชีอีกครั้งพลางทอดถอนใจ

ช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจาก ธัญพืชที่ตุนเอาไว้เพื่อเก็งกำไรถูกความชื้นจนเสียหายไปกว่าครึ่ง ต่อมามีพ่อค้าจากเมืองอื่นเข้ามาขายข้าว และธัญพิชตัดราคา เขาจำต้องเทขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน

ทว่าความโชคร้ายยังคงไม่หมดไป ตั้งแต่เดือนเจ็ดมาจนถึงตอนนี้ขบวนสินค้าของตระกูลหลี่ถูกดักปล้นไปแล้วกว่าสิบครั้ง จึงทำให้ในสมุดบัญชีมีแต่ตัวเลขสีแดงเต็มไปหมด

หลี่เค่อคิดอยากเอามือกุมขมับ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ทำเช่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว

ในขณะที่นายท่านใหญ่ของตระกูลกำลังกลัดกลุ้ม หลี่จื่อเหยาก็ก้าวเข้ามา ในห้องทำงานพร้อมกับน้ำแกงบำรุงถ้วยหนึ่ง

“พี่ใหญ่เจ้าคะ ดื่มน้ำแกงปลาสักนิดเถิด” ใบหน้างามประดับรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ผู้มองสบายใจเอาไว้

“ขอบคุณนะเหยาเหยา แต่ตอนนี้พี่ชายคงดื่มอะไรไม่ลง”

“อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ยังต้องใช้ความคิด แล้วน้ำแกงปลานั้นก็บำรุงสมอง”

“อืม ก็ได้ บางทีน้ำแกงของเจ้าอาจจะช่วยให้พี่นึกอะไรดีๆ ออก” หลี่เค่อยื่นมือไปรับถ้วยน้ำแกงจากน้องสาว เขาเปิดฝาออกก็พบน้ำแกงที่เคี่ยวอย่างพิถีพิถันจนกลายเป็นสีน้ำนม เมื่อรับรู้ถึงความใส่ใจของน้องสาว ริมฝีปากบางจึงขยับยิ้มอย่างอดมิได้

“พี่ใหญ่มัวทำอันใดอยู่ รีบๆ ดื่มเสียสิเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะเสียรสชาตินะ”

“เอาล่ะๆ ข้าจะดื่มแล้ว” หลี่เค่อรับคำแล้วรีบดื่มน้ำแกงถ้วยนั้นจนหมด รสชาติอันดีเยี่ยมทำให้บุรุษผู้เคร่งเครียดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

หลี่จื่อเหยาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกยินดี อย่างน้อยตนก็ทำให้พี่ชายสดชื่นขึ้นมา บ้าง

“หากชายใดได้เจ้าไปเป็นภรรยานับว่าโชคดียิ่งนัก” หลี่เค่อเปรย

“พี่ใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว น้องก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง”

“จะว่าไปปีนี้เหยาเหยาของเราก็อายุสิบหกแล้ว ข้ากับท่านแม่คงต้องคิดเรื่องหาคู่ครองให้กับเจ้าเสียที”

“น้องสาวยังไม่อยากแต่งงานเลยเจ้าค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ และก็ดูแลท่านพี่กับหลานชายไปก่อน”

“มิได้ๆ หากปล่อยนานเข้าเจ้ากลายเป็นสาวทึนทึกขึ้นมา ข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อ”

“อืม...ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่จัดการตามเห็นสมควรเถิดเจ้าค่ะ”

“เอาไว้ข้าสะสางเรื่องยุ่งยากพวกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อน แล้วค่อยไปปรึกษากับท่านแม่เรื่องคู่ครองของเจ้า”

“เจ้าค่ะ”

หลี่เค่อยิ้มอย่างพอใจ น้องสาวของเขาเป็นคนอ่อนหวานว่าง่าย ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง

เมื่อเห็นพี่ชายทำท่าจะสะสางงานตรงหน้าต่อ หลี่จื่อเหยาจึงไม่อยากรบกวนเขาอีกต่อไป นางเดินไปหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ แล้วสาวเท้าออกจากห้องทำงานอย่างสงบเสงี่ยม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป