บทที่ 7 ตอนที่ 7 บ้านผู้ชาย!
ตอนที่ 7 บ้านผู้ชาย!
“ที่นี่เป็นตำหนักขององค์ชายอีริคค่ะ ส่วนคนที่อยู่ที่นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนองค์ชายอยู่คนเดียว แต่จะมีทหารคอยอารักขาที่หน้าประตูทางเข้าผลัดๆกันแล้วแต่เวร ส่วนต่อไปนี้ก็จะมีคุณหนูมาอยู่เพิ่มอีกหนึ่งคนไงคะ”
อันดาไม่คิดว่าบ้านหลังนี้จะเรียกว่าตำหนัก แสดงว่าที่นี่ก็คงจะเรียกว่าพระราชวัง มิน่าใหญ่โตหรูหราเหลือเกิน แต่เมื่อสักครู่นางกำนัลพูดว่าที่นี่เป็นตำหนักขององค์ชายอีริคเหรอ ที่นี่ก็บ้านผู้ชายน่ะสิ
“ยังไม่แต่งงานกันเลยเป็นแค่คู่หมั้นทำไมถึงให้มาอยู่ในบ้านหลังคาเดียวกันกับผู้ชายล่ะ” อันดาไม่ได้กลัวองค์ชาย แต่เธอแค่สงสัยเพราะถ้าเป็นที่เมืองไทยคงไม่มีใครยอม สิ้นสุดคำถามของอันดา นางกำนัลทั้งสองก็แอบขำกันเบาๆ
“คุณหนู...ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย สำหรับเรื่องนี้ คู่หญิงชายที่กำลังจะแต่งงานกันแบบนี้คนที่นี่ไม่ถือหรอกค่ะ” คำอธิบายทำให้อันดาพอจะทำใจให้เข้าใจได้ เธอเข้าใจว่าประเพณีและวัฒนธรรมที่เมืองไทยกับที่รัสเนเปย์แห่งนี้คงไม่เหมือนกัน
“แล้วพวกพี่ล่ะ พักกันที่ไหน”
“กลับไปที่พักค่ะ”
“มาค่ะคุณหนู พวกเราจะช่วยคุณหนูอาบน้ำก่อน”
“เราโตแล้วอาบน้ำเองได้ ไม่ต้องลำบากพวกพี่หรอก”
“ไม่ได้ค่ะ/ไม่ได้ค่ะ” ทั้งสองได้รับคำสั่งมาให้ช่วยอันดาอาบน้ำแต่งตัว ผสานเสียงจนเป็นเสียงเดียวกัน
“แต่เราอายนี่”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ในวังแห่งนี้เรื่องพวกนี้ถือว่าธรรมดาค่ะ” กิ่งไผ่และแสงรุ้งกำลังทำท่าจะช่วยอันดาถอดชุด แต่อันดาไม่มีทางยอมแน่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เราไม่ใช่คนที่นี่ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีทางยอมให้พวกพี่ช่วยเราอาบน้ำเด็ดขาด ออกไปค่ะ อันดาจะอาบน้ำเอง”
นางกำนัลทั้งสองหันมองหน้ากัน
“ก็ได้ค่ะ/ก็ได้ค่ะ”
หลังจากเสร็จธุระแล้วอีริคกลับเข้ามาในตำหนักเพื่อพักผ่อนในแบบปกติเหมือนทุกวัน อีริคชอบความเป็นส่วนตัวมากที่สุด ภายในตำหนักจึงมีแค่เขาและลูกน้องคนสนิทแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้านอกออกในได้
“องค์ชายเพคะ” นางกำนัลที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องอาหารเดินเข้ามา
“มีอะไร”
“คุณหนูอันดาบ่นมาเป็นชั่วโมงแล้วว่าหิว พวกหม่อมฉันก็ได้แต่บอกกับเธอว่าให้รอองค์ชายก่อน เอ่อ...ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสวยเลยมั้ยเพคะ”
“เราจะอาบน้ำก่อน” พูดจบองค์ชายอีริคก็เดินขึ้นชั้นสามเข้าห้องส่วนตัวของตัวเองไป เขาหายไปอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะโผล่ออกมาได้ โดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังบ่นว่าหิวเลยสักนิด
“หิวจะตายอยู่แล้ว ข้าวกลางวันเราก็ยังไม่ได้กินเลย เพิ่งจะรู้ว่าที่ตำหนักแห่งนี้ภายนอกดูดีแต่ภายในชอบทรมานผู้หญิง”
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไม่ได้ทำให้สีหน้าของอันดาดูเปลี่ยนไป เธอยังคงหน้ามุ่ยอยู่อย่างนั้น
องค์ชายอีริคมองหน้าอันดานิ่งๆก่อนที่จะนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารภายในตำหนักส่วนตัว จากนั้นนางกำนัลที่มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารก็จัดการเอาอาหารขึ้นมาเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่อาหารที่นี่ดูแล้วไม่ค่อยคุ้นตาอันดาสักเท่าไหร่
“กินสิ” น้ำเสียงราบเรียบแต่แววตานั้นกลับจ้องมองมาที่อันดาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“หน้าตาก็ดี ทำไมถึงได้ดูดุจัง” เธอบ่นเบาๆเป็นภาษาไทยอยู่ในลำคออีกแล้ว องค์ชายมองใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้านิ่ง เขากำลังรู้สึกว่าเธอคงไม่รู้ว่าเขาสามารถฟังภาษาไทยออกทุกคำ ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดจะบอกเธออยู่แล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะหลอกด่าอะไรเขาอีก
ในขณะที่อันดากินเอาๆ เพราะความหิว องค์ชายอีริคก็ยังคงมองหน้าคนตรงหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะในขณะตักอาหารเข้าปากผู้หญิงตรงหน้าเขาตอนนี้นั้นไม่คิดจะห่วงสวยเลยสักนิด
“ไม่เสวยเหรอเพคะ” อันดาเงยหน้าขึ้นมาถาม เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ลงมือรับประทานอาหารสักที ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารตรงหน้ารับประทานไปเงียบๆ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น บรรยากาศเงียบกริบ ซึ่งปกติเวลารับประทานอาหารที่บ้านของอันดาที่เมืองไทย จะได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะแต่บรรยากาศที่นี่ตอนนี้มันคืออะไรกัน แล้วอย่างนี้เธอจะกินให้อร่อยได้ยังไง รู้สึกเกร็งไปหมด ไหนจะพวกทหารและนางกำนัลพวกนี้อีก ยืนมองคนกินอยู่ได้...อันดาจึงอยากชวนเขาคุย
“ไปไหนมาเพคะ”
“เรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับเธอ” อุ้ย! น้ำเสียงเรียบๆเหมือนอย่างเคย แต่ทำไมฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนเธอสอดรู้สอดเห็นยังไงก็ไม่รู้
“ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย แค่ถามเป็นมารยาท” น้ำเสียงห้วยๆเอ่ยบอกไป จากนั้นเธอก็ตั้งใจกินอาหารตรงหน้าไปเงียบๆ โดยไม่สนใจเขาอีก
@ตำหนักองค์ชายอีธาน
ประตูห้องใหม่ที่อยู่ชั้นสองของตำหนักถูกเปิดเข้าไปด้านใน ขนาดของห้องนี้ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก มีเตียงนอนขนาดหกฟุตตั้งวางอยู่มุมหนึ่งของห้อง มีโซฟาขนาดกำลังดี มีโต๊ะอ่านหนังสือ มีห้องแต่งตัว และห้องน้ำในตัว ประตูเข้าออกด้วยกุญแจไม่ได้พิเศษเหมือนชั้นสาม แต่ก็ไม่ได้แย่ถือว่าปกติ
“พออยู่ได้มั้ยเพคะ”
“ได้สิ ยังไงเราก็ถอนตัวไม่ได้อยู่แล้วนี่” ถ้าเธอจะกลับบ้าน เธอจะเอาอะไรไปอธิบายให้กับทุกคนฟัง แต่งงานยังไม่ถึงอาทิตย์แต่กลับถูกผู้เป็นสามีไล่ออกจากห้องให้ไปนอนห้องอื่น แล้วไหนจะเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ทางนี้อีก นอกจากจะกลับไปไม่ได้แล้วเธอยังต้องทนอยู่ที่นี่ให้ได้อีกด้วย
“อดทนนะเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าสักวันองค์รัชทายาทจะต้องใจอ่อนให้ท่านหญิงอย่างแน่นอนเพคะ”
“เรายังไม่รู้เลยว่าเขาโกรธเราเรื่องอะไร เราไปทำอะไรให้” ถ้าจะให้เธอเดา คงเป็นเพราะเธอไม่ใช่พี่อิงเดือน
“รอให้พระองค์อารมณ์ดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยถามนะเพคะ” เรืองลดาพยักหน้ารับเป็นอันว่าเธอเข้าใจ
ในความร้ายกาจของเขาเธอก็ยังเจอคนดีๆอย่างรษาคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยพูดคุย คอยปรับทุกข์
“ท่านหญิงพักผ่อนเถอะนะเพคะ เดี๋ยวได้เวลาท่านอาหารเย็นหม่อมฉันจะขึ้นมาตาม”
“รษามีอะไรก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา”
“เพคะ”
ทางด้านองค์ชายอีธาน
เขากลับเข้ามาในห้องส่วนตัวอีกครั้ง ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดมันออก ของที่อยู่ด้านในเป็นของเล็กๆน้อยๆแต่มีคุณค่าทางจิตใจ ที่อิงเดือนเคยส่งมาให้ เขาเก็บมันไว้เป็นอย่างดีทุกชิ้น เวลาคิดถึงก็หยิบมันขึ้นมาดู คอยเฝ้ารอให้ถึงวันเวลาที่เขาและเธอจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ความตายกลับมาพรากเอาเธอไปจากเขาแม้แต่งานศพของเธอเขาก็ยังไม่ได้ไป เพราะต้องอยู่เตรียมงานอภิเษกสมรส สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว ความเสียใจในครั้งนี้ทำให้เขาเหมือนตกนรกทั้งเป็น
“เดือน...คุณทิ้งผมไปทำไม” อีธานคุยอยู่กับรูปภาพและสิ่งของที่อิงเดือนเคยให้ไว้อยู่อย่างนั้นสักครู่
เมื่อเห็นว่าได้เวลารับประทานอาการเย็นแล้ว เขาจึงวางกล่องใบนั้นลงบนโต๊ะแล้วปิดมันไว้เหมือนเดิม ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่างของตำหนัก
อีธานเดินมาถึงเห็นเรืองลดานั่งรออยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารก่อนแล้ว
“แยกโต๊ะ!...เราไม่ต้องการกินอาหารร่วมกับผู้หญิงคนนี้” เสียงเข้มเอ่ยขึ้น ทำให้ข้าราชบริพารต่างตกใจกันเป็นแถว อีธานเดินไปนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารอีกฝั่ง เพื่อให้นางกำนัลที่รับผิดชอบดูแลเรื่องอาหารนำอาหารมาเสิร์ฟให้กับเขาใหม่อีกหนึ่งชุด แต่อาหารมีแค่ชุดเดียวเนื่องจากไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะแยกกันรับประทาน
“ขอประทานอภัยด้วยเพคะ อาหารมีแค่ชุดเดียวพวกหม่อมฉันไม่ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า...”
“พระองค์เสวยเถอะเพคะ หม่อมฉันยังไม่หิว” เรืองลดาพูดจบเธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องอาหารทันที
“อวดดี” เขากัดฟันพูด
เรืองลดาพาตัวเองไปนั่งเล่นอยู่ที่หลังตำหนักเงียบๆคนเดียว ความหิวทำให้เธอรู้สึกปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว เธอเป็นโรคกระเพาะ จะต้องทานอาหารตรงเวลาและห้ามเครียด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะมีครบทั้งสองอย่างเลยทั้งหิวทั้งเครียด
สำหรับเรืองลดาแล้วเธอพยายามเข้มแข็งทั้งๆที่เธอเป็นคนอ่อนแอ เรืองลดามีใบหน้าเหมือนพี่สาวฝาแฝดมากก็จริง แต่นิสัยของทั้งสองคนกลับไม่เหมือนกันเลย
อิงเดือนจะมีนิสัยกล้าพูดในสิ่งที่คิดและกล้าทำในสิ่งที่อยากทำ เธอเป็นคนเปิดเผย แข็งแรง
ส่วนเรืองลดาเป็นคนไม่กล้าและชอบเก็บความรู้สึก ปากกับใจมักจะสวนทางกันเสมอ เธอเป็นคนขี้กลัว อ่อนแอ
เรืองลดารู้สึกผิดกับพี่สาวสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งก็คือวันนั้นเธอปวดท้องพี่สาวของเธออิงเดือนจึงอาสาไปซื้อยาที่ร้านใกล้ๆบ้านให้ เป็นยาโรคกระเพาะที่เพิ่งจะหมดไป สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ไม่ต้องไปโรงพยาบาล
ด้วยความที่อิงเดือนอยากจะไปซื้อของอย่างอื่นด้วย เธอจึงอาสาไปซื้อให้น้องสาวเอง ไม่ได้ไหว้วานให้คนในบ้านไปซื้อให้ แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้น อิงเดือนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งเข้าชนช่วงที่เธอกำลังเดินข้ามถนน เหตุการณ์ในครั้งนี้เหมือนมีเรืองลดาเป็นต้นเหตุด้วย
เรื่องที่สองคือเรืองลดาแอบมีใจให้กับอีธานมานานแล้ว ก็ไม่แปลกที่เรืองลดาจะรู้สึกดีกับผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและชาติตระกูล แถมยังมากไปด้วยความสามารถที่พี่สาวของเธอชอบมาพูดมาเล่าให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ ในความดีของเขา แต่ไม่ว่าเธอจะแอบปลื้มเขามากขนาดไหน เธอก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งเขามา
ลึกๆแล้วเรืองลดาแอบรู้สึกผิด ถ้าวันนั้นอาการปวดท้องโรคกระเพาะของเธอไม่กำเริบขึ้นมา พี่สาวของเธอก็คงไม่ต้องมาตาย ถ้าไม่ตายป่านนี้อิงเดือนกับองค์ชายอีธานก็คงมีความสุขกันไปแล้ว
“ท่านหญิง หม่อมฉันทำอาหารชุดใหม่ให้เสร็จแล้วนะเพคะ” นางกำนัลที่รับผิดชอบดูแลเรื่องอาหาร เดินเข้ามาตามท่านหญิงไปรับประทานอาหาร ที่เพิ่งจะปรุงเสร็จใหม่ๆ เรืองลดาเริ่มปวดท้องหนักขึ้น เธอจึงไม่รีรอรีบไปรับประทานอาหารก่อนที่กระเพาะของเธอจะปวดหนักขึ้นกว่านี้
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเธอจึงรีบขึ้นห้องไปหายาทาน สักพักใหญ่ๆอาการของเธอก็เริ่มทุเลาลง
“ท่านหญิง...ยังไม่นอนอีกเหรอเพคะ”
“เรากำลังคิดอะไรเพลินๆน่ะ อากาศที่นี่หนาวเย็นแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“เพคะ เป็นปกติของที่นี่”
“อากาศเย็นแบบนี้ รษาไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา เราอยู่ได้”
“ให้หม่อมฉันอยู่คุยเป็นเพื่อนก่อนเถอะนะเพคะ” รษาเห็นว่าท่านหญิงดูเงียบเกินไป อาจจะกำลังไม่สบายใจ ใบหน้าสวยจิ้มลิ้มของเธอไม่เคยคลี่ยิ้มให้เห็นเลยสักครั้ง รษาจึงเป็นห่วง อีกอย่างที่นี่ท่านหญิงก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวด้วย
“ถ้ารษายังไม่ง่วงก็ได้”
“เพคะ” กิริยา วาจา และมารยาทของเรืองลดาช่างอ่อนหวานนอบน้อม เธอดูบอบบาง ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะใจร้ายกับเธอได้ขนาดนี้...รษาคิดในใจ
“รษา...เราขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ถามมาได้เลยเพคะ รษายินดีตอบทุกเรื่องถ้ารู้”
“ปกติเสด็จพี่อีธานเป็นคนแบบไหน”
“ถ้าถามเรื่องนี้ สำหรับคนทั่วๆไป พระองค์เป็นผู้ชายที่อบอุ่นคนหนึ่ง รักน้องมาก ทำงานเก่ง แต่เป็นคนใจร้อนเพคะ”
“อบอุ่นเรามองไม่เห็นเลย ใจร้อนนี่ก็พอได้อยู่ แถมไม่มีเหตุผลด้วย” เรืองลดากับรษานั่งคุยกันอยู่สักครู่ด้วยเรื่องทั่วๆไป
“เราจะเข้านอนแล้ว รษาไปพักผ่อนเถอะ”
“เพคะ” รษาจึงกลับไปพักผ่อน ซึ่งเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว













































