บทที่ 2 2
เขายืนนิ่งขึง จนเธอใช้ผ้าแตะๆ เสื้อบริเวณอกของเขาจนพอใจแล้วนั่นละ เขาถึงได้ขยับตัวเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองอย่างเจื่อนๆ ส่งผ้าคืนให้
ดวงตาคู่คมสีดำสนิทหลุบลงมองผ้า แล้วหันไปพยักหน้าให้ชายหัวล้าน “โจ้ จัดการที”
“รับทราบครับ” โจ้ก้มศีรษะ รับผ้าจากหญิงสาวแล้วนำไปทิ้งถังขยะ
“ผ้ายังดีอยู่เลย ไม่น่าทิ้ง” ปลอบขวัญรำพึงอย่างเสียดายผ้าผืนน้อยทว่าปักลวดลายสวยงามผืนนั้น
“มันเป็นของผม ผมมีสิทธิ์ทิ้งไม่ใช่หรือครับ” เขาย้อนถาม และเธอก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยืนคอแข็ง กำลังจะขอตัวไปให้ห่างผู้ชายน่ากลัวคนนี้ ทว่าเขากลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน “ขอโทษนะครับ ผมคงต้องเชิญคุณไปที่หนึ่ง”
“ที่ไหนคะ... แล้วเราไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“บ้านผม... ผมชื่อรชานนท์ เท่านี้ก็เหมือนว่าเรารู้จักกันแล้ว คุณคงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
คุณครูสาวตาพอง โวยคีย์เสียงสูง “มีสิคะ มีมากด้วย บ้าหรือเปล่า รู้จักกันแค่ไม่กี่นาทีก็ชวนไปบ้าน เห็นฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายหรือไง เห็นแบบนี้แต่จริงๆ แล้วฉันเป็นกุลสตรีนะ รักษาเนื้อตัวดีมาโดยตลอด ส่วนคุณเป็นผู้ชายที่ห่วยมากเท่าที่ฉันเคยพบเจอมา... คนอะไรดูถูกเพศแม่ตัวเอง”
ฟังเจ้าหล่อนด่าฉอดๆ เคล้ากับเสียงดนตรีจังหวะโจ๊ะ รชานนท์ก็ถึงกับเลิกคิ้วสูง โจ้... ผู้ติดตามฝั่งซ้ายซึ่งไร้เส้นผม หัวสะท้อนแสงไฟหลากสีวิบวับปิ๊งปั๊ง ดูเผินๆ เหมือนหัวหลอดไฟได้ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบข้างหูเจ้านายหนุ่มสุดหล่อ
ดวงตาคมปลาบยิ่งกว่ามีดโกนเหลือบมองหญิงสาวก่อนพยักหน้าสั่งลูกน้อง “พาเธอไป!”
“ครับผม”
“เอ๊ะ! เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน” ปลอบขวัญหันซ้ายขวาอย่างตระหนก เมื่อชายฉกรรจ์สองคน... คนหนึ่งหัวล้าน อีกคนผมยาวถึงเอว ได้เข้ามาขนาบข้างเธอ พร้อมจับแขนเธอไว้คนละข้าง
“ไปกับเจ้าพ่อดีๆ เถอะครับ ถ้าไม่อยากมีปัญหา” ปัญหาที่ว่าคือวัตถุสีดำเมื่อมซึ่งจ่อสีข้างเธออยู่ ไม่รู้ว่าการ์ดหน้าผับยอมปล่อยให้คนอันตรายแบบนี้เข้ามาในสถานบันเทิงได้อย่างไร
“เจ้าพ่ออะไร แถวนี้มีศาลเจ้าด้วยหรือไง”
‘เจ้าพ่อ’ หน้าตึง ปากได้รูปเม้มเป็นเส้นตรง แม้แววตาจะยังคงเรียบเฉยอยู่
“อย่าลามปามท่าน ถ้าคุณยังรักชีวิต”
ปลอบขวัญเลือดขึ้นหน้า “เจ้าพ่อของคุณยิ่งใหญ่มาจากไหน ถึงมีสิทธิ์กำหนดชีวิตคนอื่นว่าจะอยู่หรือตาย”
เสียงเธอดังพอที่จะเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ใกล้ๆ ให้หันมามอง ทว่าน่าเสียดายที่ปืนซึ่งจ่อเธออยู่นั้นอยู่ในจุดต่ำ แสงไฟไม่ถึง จึงไม่มีใครสังเกตเห็น
“พอก่อน ถอยมา ฉันจัดการเอง” รชานนท์ให้สัญญาณ ชายร่างยักษ์ทั้งคู่ถอยห่างอย่างว่าง่าย หนุ่มหัวเหม่งรีบซุกอาวุธไว้ในแจ็กเกตตามเดิม
“เอาสิ คนเยอะแยะ คุณมีปัญญาเอาตัวฉันไปได้ก็เชิญเลย” หญิงสาวเริ่มใจชื้น คนเพียบแบบนี้ ชายแปลกหน้าคงไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ ตราบใดที่เธออยู่ท่ามกลางฝูงชน เธอย่อมปลอดภัย
แต่... หญิงสาวคิดผิด เพราะเขาเจ้าแผนการกว่าที่เธอประเมินไว้
“เมียจ๋า”
ปลอบขวัญหันซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก “ไหนเมียคุณ มีเมียแล้วยังทำซ่าอีกเหรอ”
“คุณไงเมียผม ทำเป็นจำไม่ได้ ลืมแล้วหรือเรื่องคืนนั้นระหว่างเรา”
“คืนไหน ไม่มีคืนไหนทั้งนั้น คุณอย่ามามั่วนะ”
“เมียจ๋า เมื่อไหร่จะเลิกโกรธผัวเสียที” รชานนท์ออดเสียงหวาน ขยับเข้าประชิดตัวเธอพลางยกมือน้อยมากุมไว้ “พี่มาง้อแล้ว อย่าประชดพี่ด้วยการมาเที่ยวกลางคืนแบบนี้อีกเลยนะจ๊ะ มันไม่ดีนะรู้ไหม”
“จะบ้าหรือไง” หญิงสาวรีบชักมือออก แต่เขายึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“พี่บ้าก็เพราะพี่รัก พี่หวงเธอนะคนดี หายงอนพี่นะ ให้อภัยพี่สักครั้งได้ไหม กลับบ้านด้วยกันนะ นะ นะ นะจ๊ะ” ดวงตาคมพริบพรายก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามากอด
สาวๆ หลายคนมองเธออย่างริษยา แน่ละ... ไม่มีใครนึกสงสัยสักคนว่าเธออาจตกอยู่ในอันตราย
หมาป่าเวลาจะกินลูกแกะน้อย มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมล่อหลอกเพื่อให้เหยื่อตกหลุมกับดักเสมอ
“ปล่อยนะ อย่าฉวยโอกาสกับฉัน ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ...” เสียงของเธอกลืนหายลงลำคอ เมื่อชายหนุ่มก้มลงประกบริมฝีปากจูบเธออย่างดูดดื่ม
ครูสาวตาโต ไม่คิดว่าจะโดนคนแปลกหน้าขโมยจูบในที่สาธารณะ ไม่มีใครช่วยเธอ เพราะที่นี่คือแหล่งอโคจร กว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์คือหนุ่มสาวใจแตกที่มองว่าการแสดงออกซึ่งความต้องการทางร่างกายเป็นเรื่องธรรมดา... แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ อยู่มายี่สิบห้าปี ไม่เคยมีชายคนไหนกล้าล่วงเกินแบบนี้มาก่อน มันจะมากเกินไปแล้ว ยอมไม่ได้...
แม้ในใจจะอึงอลเต็มไปด้วยถ้อยคำด่าทอที่ไม่อาจเอ่ยออกจากปากได้ ทว่าร่างกายเธอกลับไม่ยอมผลักไสเขา แข้งขาสิ้นเรี่ยวแรง สั่นจนแทบยืนไม่ติด เคราะห์ดีที่มือหนาจับเอวเธอรั้งไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงรูดลงไปนั่งกองที่พื้นเป็นแน่
“อื้อ...” เล็บจิกต้นแขนหนั่นแน่น ก่อนจะเริ่มระดมทุบตี แม้เรี่ยวแรงจะโดนเขาสูบไปเกือบหมดแล้วก็ตาม
