บทที่ 3 3
ทันทีที่เขาถอนจุมพิตหวาม มือเรียวก็ตวัดใส่หมายจะตบหน้าสักฉาด แต่เขาไวทายาดคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน
“ว้าย! ปล่อย”
“กลับบ้านกันนะคนดี” ชายหนุ่มจูบหน้าผากนวลเบาๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรั้งเอวเล็กกึ่งกอดกึ่งลากพาออกจากผับโดยไม่มีใครสงสัย... เพราะต่างก็คิดว่าเขามาง้อเมียที่งอนแล้วหนีมาเที่ยวราตรี
การ์ดหน้าสถานเริงรมย์ก้มหัวโค้งคำนับอย่างนบนอบ รชานนท์เพียงพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเดินเลยผ่านไม่สนใจ จนกระทั่งใกล้ถึงเขตโรงจอดรถ
“ปล่อยฉัน ไม่งั้นจะแหกปากตะโกน”
“อยากโดนจูบอีกก็ตะโกนเลย ใครๆ ก็คิดว่าคุณเป็นเมียผม” ชายหนุ่มตัดปัญหาด้วยการช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอก ไม่สนแม้ขาเรียวจะปัดป่ายดิ้นพล่านก็ตาม
“อีตาบ้า! กล้าดียังไงทำแบบนี้ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ปล่อยไงเล่า”
“มีแรงดิ้นก็ดิ้นไป ผมก็มีแรงจูบคุณเหมือนกัน” จบประโยคนี้ ชายหนุ่มก็ก้มลงจูบเรียวปากอิ่มอย่างดูดดื่ม ปลอบขวัญตาเหลือก เบี่ยงหน้าหนี แต่ริมฝีปากซุกซนยังคงรุกรานหนักหน่วงจนยากที่จะหลีกพ้น
ท้ายสุด... เรี่ยวแรงที่มีก็หดหาย ร่างกายอ่อนปวกเปียก ยอมให้เขาจับยัดเข้าเบาะหลังของรถเบนซ์อย่างง่ายดาย ขณะที่โจ้ทำหน้าที่สารถี ทัชนั่งข้างคนขับ ส่วนรชานนท์ตามมานั่งประกบเธอทางตอนหลัง
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ หรือคุณคิดจะเอาฉันไปข่มขืน”
“เห็นผมเป็นไอ้บ้ากามหรือไง”
หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว “ใช่... ก็คุณจูบฉันไปตั้งสองครั้ง”
“คุณอยากโวยวายเองนี่นา ผมไม่มีผ้า ไม่มีเทปกาว เลยต้องใช้ปากตัวเองปิดปากคุณ... และมันก็ได้ผลดีซะด้วยสิ” ท้ายประโยค แววตาคมพริบพราว ขณะที่เธออายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“หรือคุณจะเรียกค่าไถ่ฉัน”
เขาทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม “สภาพผมเหมือนคนเดือดร้อนเรื่องเงินนักหรือไง”
ปลอบขวัญเม้มปากแน่น ก่อนโพล่ง “ถ้างั้นคุณจับตัวฉันมาทำไม!”
“อยากให้คุณได้พบใครคนหนึ่ง”
“ใคร?”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง” น่าแปลกที่เขาทำสีหน้าเย็นชาจนเธอหนาวเยือก... ลางสังหรณ์บอกเธอว่า นับจากวินาทีนี้ไป ชีวิตเรียบง่ายของเธอคงจะไม่ปกติอีกแล้ว!
ฝ่ายปราจีนเริ่มร้อนรน เพราะเมื่อออกจากห้องน้ำมาแล้วก็ตามหาเพื่อนสาวไม่พบ ครั้นเดินออกมาข้างนอกก็เห็นปลอบขวัญยืนจูบอยู่กับผู้ชายตัวสูง สวมสูทสีกลมกลืนกับความมืด เธอกำลังจะวิ่งไปเรียก แต่ชายผู้นั้นอุ้มเพื่อนเธอขึ้นรถแล้วขับออกไปเสียก่อน
“โธ่เอ๊ย! ยัยขวัญ” หญิงสาวมีสีหน้ายุ่งยากใจ ยืนเอามือเท้าสะเอว มองตามท้ายรถที่แล่นจากไปจนลับ “มีแฟนแล้วก็ไม่เห็นบอกกัน ดูเถอะ... เจอผู้ชายแล้วทิ้งเพื่อนไว้คนเดียว จำไว้เลยนะแก!”
คฤหาสน์หลังงามสีน้ำเงินสง่าตั้งกลางเนื้อที่หลายไร่ ปลอบขวัญไม่มีเวลาสังเกตมากนักว่าจัดตกแต่งบริเวณโดยรอบสวยงามเพียงใด รู้เพียงว่าเมื่อแสงจันทร์ส่องกระทบ ตัวบ้านจะดูมีมนตร์ขลัง สวยงาม... ชวนหลงใหล จนไม่น่าเชื่อว่าในประเทศไทยจะยังมีเคหะสถานที่มีเสน่ห์ขนาดนี้อยู่ด้วย
เธอก้าวลงจากรถราวละเมอ เมื่อความกลัวจางหายไปพร้อมไอความเย็นที่หนาวจนแทบสั่น เธอก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาแทนที่ สติของหญิงสาวเริ่มตื่นตัวเมื่อได้ยินเสียงกรรโชกดุดัน
สุนัขตัวเขื่องเกือบเท่าลูกม้า ขนสีดำสนิท ในความสลัวรางเห็นเพียงดวงตาวาววับและเขี้ยวขาวที่แยกโชว์ความโหดเหี้ยมให้ผู้มาเยือนได้เห็น
“อย่านะไรโด้” รชานนท์เอ็ดเสียงดัง ก่อนจะหันไปโวยลูกน้องคนสนิท “คืนนี้รู้ว่าจะมีแขกมา แล้วใครกันปล่อยหมาเพ่นพ่าน”
“มะ...ไม่ทราบครับ ไรโด้ กลับเข้ากรงเร็ว” โจ้ขยับไปต้อน แต่เจ้าหมาร่างถึกกลับหันมาแยกเขี้ยวใส่
“ไรโด้ มาทางนี้” รชานนท์ดีดนิ้วเรียก ก่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นสัตว์สี่ขากระโจนเข้าใส่หญิงสาว “เฮ้ย! อย่านะไรโด้”
“ว้าย! กรี๊ด!” เสียงแหลมหวีดร้องอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะวาดขาขึ้นกลางอากาศ สวนกับที่ไรโด้พุ่งตัวลอยมาทางเธอพอดี
พลั่ก! ส้นเท้าฟาดใส่ปากสุนัขจิ๊กโก๋เต็มแรง ตามด้วยลูกถีบที่ยอดอก มันถึงกับหยุดค้างกลางอากาศก่อนจะตกแผละหมอบสู่พื้นดิน จากเสียงขู่ กลายเป็นเสียงคราง สิ้นความ ‘เก๋า’ ทันที
“หมาอะไร โหดจริงๆ” ปลอบขวัญเท้าสะเอว ส่ายหัว ท่าทางอิดหนาระอาใจ ท่ามกลางสายตาที่เบิกค้างของบุรุษฉกรรจ์ทั้งสามคนที่ยืนมองนิ่งเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหินไปแล้ว
“ถีบไรโด้...” ทัชครางในลำคออย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่โจ้รีบรับ
“เตะปากไรโด้”
ตามด้วยคำพูดที่ออกจากปากของรชานนท์ “ขนาดหมาโหดยังต้องยอมสยบ ให้ตายสิคุณขวัญ ผมรู้สึกสงสารผู้ชายที่จะได้แต่งงานกับคุณซะจริงๆ”
หญิงสาวค้อนขวับ “ฉันยังไม่คิดจะแต่งงานค่ะ”
“ทำไม... หรือไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าแต่งงานกับขาโหดอย่างคุณ”
“ไม่ใช่ค่ะ” ปลอบขวัญแว้ด “มีหนุ่มๆ มากมายอยากแต่งกับฉันจนตัวสั่น แต่ฉันไม่คิดจะแต่งกับใคร เพราะ...” ยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็แทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เพราะคุณเป็นทอม”
“ไม่ใช่ค่ะ” แว้ดอย่างขุ่นเคือง
“ก็ว่าอยู่” รชานนท์พึมพำ “ทอมที่ไหนจะจูบหวานเหมือนคุณ”
“เลิกพูดถึงเรื่องจูบบ้าๆ นั่นซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ” พอเตะหมาได้ เธอก็เริ่มกร่าง “ถ้าไม่อยากมีสภาพเหมือนเจ้าตัวดำนั่นก็รีบพาฉันไปส่งที่บ้านเดี๋ยวนี้”
รชานนท์อึ้ง ขณะที่ลูกสมุนทั้งสองพากันหัวเราะขบขันเธอ
“หัวเราะอะไรยะ ฉันไม่ใช่ตลกคาเฟ่นะ”
โจ้กับทัชพากันหุบปากเงียบกริบ รชานนท์จึงสั่ง “พาไรโด้กลับเข้ากรงไปก่อน ส่วนทางนี้ฉันจะจัดการเอง”
“ครับท่าน”
ไรโด้... สุนัขผู้น่าสงสารเดินคอตก หางตก ครางงี้ดง้าดตามสองหนุ่มร่างยักษ์ไปทางหลังบ้านแต่โดยดี ซึ่งมันก็ไม่ลืมที่จะปรายตามองไปทางหญิงสาวแปลกหน้าอย่างแค้นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดหน้าเมินไปทางอื่น
ปลอบขวัญไม่สนใจ แม้จะโดน‘หมาเมิน’ สิ่งที่คาใจเธออยู่ในตอนนี้คือ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอกำลังจะเจอกับอะไร “ว่าไง รีบพาฉันไปส่งบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
