บทที่ 9 บทที่ 9
เพียะ!!!
มือเล็กๆ ฟาดลงบนใบหน้าดุดันเต็มแรงอย่างลืมตัว ตบเขาแล้วก็ตกตะลึงด้วยความตื่นกลัวจนร่างบอบบางสั่นสะท้านไปหมดเมื่อเห็นดวงตาเข้มวาวโรจน์ขึ้นราวกับเปลวเพลิง
“เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ถึงกล้าตบหน้าฉันแบบนี้...ฮะ!” เมสันตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดวงตาเข้มจ้องเขม็ง ก่อนจะกระชากร่างเล็กจนปลิวเข้าไปปะทะร่างกำยำของเขาเต็มแรงเสมือนตุ๊กตาที่ไร้น้ำหนัก
“ดะ...ดิฉันขอโทษ” สาวน้อยพูดปากคอสั่น
“ดิฉันแค่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองเท่านั้น”
“ด้วยการตบหน้าฉันอย่างนั้นเรอะ!”
“แต่คุณพูดจาดูถูกดิฉันก่อนนะคะ”
“ดูถูก?” เมสันทำเสียงหยันๆ ใบหน้าเหี้ยมกระด้าง “แสดงว่าฉันพูดถูกสินะ ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมาว่าเธอนัดกับใคร”
“ดิฉันไม่ได้นัดใครค่ะ”
เขาแสยะยิ้มเป็นเชิงหยามหมิ่น “ผู้ร้ายปากแข็งอย่างเธอ ฉันคงต้องง้างปากให้พูด”
ว่าแล้วมือใหญ่ข้างขวาก็เลื่อนลงมาตวัดเอวเล็กแล้วล็อกตรึงไว้ให้แนบกับร่างกำยำจนสาวน้อยขยับไปไหนไม่ได้ ส่วนอีกมือยกขึ้นบีบแนวสันคางเล็ก จนเจ้าตัวเจ็บร้าวไปหมด
ละอองฝนได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บไม่กล้าเอ่ยอุทธรณ์ใดๆ
“ฉันถามว่านัดกับใคร!” เสียงห้าวกระด้างถามลอดไรฟันในประโยคเดิม
“ไม่มีค่ะ...” เสียงหวานหลุดออกมาเพียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ และหลุบตามองแค่ปลายคางของเขาเท่านั้น
“ถ้าเธอแน่ใจว่าไม่ได้โกหกก็อย่าหลบตาฉัน”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าแต่เชยคางของเธอขึ้นอย่างปราศจากคำว่าอ่อนโยน ละอองฝนอยากจะเบี่ยงหน้าหนี หากก็ทำไม่ได้เพราะคางถูกเขาตรึงเอาไว้แน่น ดวงตาคู่สวยไหวระริกด้วยความหวาดหวั่น ยามเมื่อถูกบังคับให้ต้องสบประสานสายตากับตาคมดุดันของเขา และวินาทีต่อมาหัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบเมื่อใบหน้าคนดุเถื่อนก้มต่ำลงมาใกล้กับริมฝีปากสีระเรื่อของเธอ ความหวาดหวั่นทำดวงตากลมแป๋วสวยสีนิลต้องรีบหลับลงเพื่อหนีให้พ้นจากภาพนั้น
“ให้ตายสิ! เธอนี่มัน...”
สาวน้อยได้ยินเขาสบถแค่นั้น ก่อนจะเบิกตาโพลงขึ้นอีกครั้งพร้อมกับครางเสียงอู้อี้ในลำคอด้วยความตื่นตะลึงเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากแสนกระด้างกดลงบนเรียวปากนุ่มละมุนของเธออย่างดุดัน ต่อมาความตื่นตะลึงก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก ร่างบอบบางจึงดิ้นขลุกขลักหวังจะหลุดจากการรุกรานอันแสนอุกอาจของเขา
เมสันไม่ได้ไยดีกับการต่อต้านอันน่ารำคาญนั้นเลยสักนิด เขาใช้เรียวปากหยักบดกระแทกกดคลึงให้ริมฝีปากอันไร้เดียงสาของคนในอ้อมกอดต้องเผยอเปิด จากนั้นก็ฉกลิ้นสากระคายร้อนๆ วูบเข้าไปในโพรงปากจิ้มลิ้มอย่างจ้วงจาบตามแบบนิสัยคนเอาแต่ใจ
“อื้อ!...”
ละอองฝนรู้ดีว่านี่คือการลงทัณฑ์ของเขา เธอพยายามจะร้องประท้วง หากเสียงก็ฮึมฮัมอยู่แต่ในลำคอเท่านั้น สุดท้ายเสียงร้องก็กลายเป็นเสียงคราง เมื่อลิ้นอ่อนหัดต่ออารมณ์ดำฤษณาถูกเกี่ยวกระหวัดรัดร้อยเข้ากับลิ้นร้อนๆราวกับเปลวเพลิง ส่งผ่านความซ่านสยิวให้แล่นพล่านลามเลียไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายก่อนจะมาขมวดเกร็งรวมกันอยู่ในท้องน้อย
แรงจุมพิตอันแสนดิบเถื่อนของเขาทำให้ละอองฝนสะท้านเยือก แต่ทันทีที่กระดิกกระเดี้ยตัวเพียงแค่องคุลีเดียว ร่างอ้อนแอ้นที่ถูกตรึงให้ยืนแนบชิดอยู่กับร่างแกร่งจนไม่มีที่ว่างให้เข็มผ่านก็เกิดการเสียดสีที่ทำให้ความซ่านสยิวถาโถมเข้าใส่จุดอ่อนไหวรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สาวน้อยจึงไม่กล้าขยับเขยื้อนและได้แต่ยืนนิ่งเหมือนยอมจำนนให้เขากอดจูบโดยดุษณี
เมื่อไร้การต่อต้าน การลงทัณฑ์ของเมสันก็ยิ่งทวีความเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสาวน้อยผู้อ่อนด้อยประสบการณ์รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังจะขาดใจตายเพราะหายใจหายคอไม่ทัน แต่ก็ไม่ตายอย่างที่คิดเนื่องจากเขาได้ผละริมฝีปากออกอย่างกะทันหัน ทำให้เธอตกอยู่ในภาวะมึนงงแกมพร่าเลือนไปชั่วขณะสมองหมุนติ้ว เรี่ยวแรงจะยืนแทบไม่หลงเหลือจึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองทรุดลงไป ทว่ายังไม่ทันจะพับถึงพื้นร่างอ้อนแอ้นก็ปลิวขึ้นไปตามแรงฉุดของลำแขนแข็งแรง
เมสันไม่ได้ฉุดให้เธอยืนเท่านั้นแต่ยังยกหน้าท้องของเธอขึ้นไปพาดอยู่บนไหล่แกร่ง ศีรษะห้อยต่องแต่งลงมาด้านหลังของเขา โดยมือแกร่งกางขยุ้มบนบั้นท้ายงอนงามตรึงเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอดิ้นหนี จากนั้นเขาก็แบกร่างน้อยพาเดินออกจากโรงม้า ตรงไปตามถนนซึ่งเป็นทางกลับคฤหาสน์
“ปล่อยดิฉันลงเดี๋ยวนี้นะคะคุณเมสัน!”
นั่นเป็นประโยคแรกที่หลุดจากปากสีระเรื่อที่ยังคงสั่นระริกจากการถูกบดจุมพิตอันรุนแรงในรอบหลายนาทีที่ผ่านมา
“หุบปากซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเธอทุ่มลงบนพื้นถนนแข็งๆ นี่เสีย”
เมสันตะคอกเสียงเข้ม ทำให้สาวน้อยต้องชะงักเสียงของตัวเองลงโดยพลัน เพราะรู้ดีว่าคนร้ายกาจเช่นเขาคงจะไม่เตือนเธอซ้ำสองเป็นแน่
ลำขาแกร่งยังคงก้าวอาดๆ ไปข้างหน้าอย่างมั่นคงจนคนที่ถูกแบกอยู่อดที่จะทึ่งในพละกำลังอันมากมายมหาศาลของเขาไม่ได้เมสันนั้นเป็นผู้ชายที่แข็งแรงมาก แบกเธอพาดบ่าตั้งแต่โรงม้าจนถึงหน้าคฤหาสน์โดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยใดๆ ให้เห็น ราวกับว่าร่างกายของเธอเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นก็ไม่ปาน
