6.
ในเวลาแบบนี้แหละ ที่ฉันรู้สึกสมเพชตัวเอง ด้วยสถานะ ‘เด็กสาวผู้ไร้หมาป่า’ และการเป็นแฟนสาวที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเอเดน การไปซื้อของกับเพื่อนผู้หญิงจึงเป็นได้แค่ความฝันสำหรับฉัน อีกสองวันจะถึงงานพรอมแล้ว แต่ฉันยังหาชุดไม่ได้เลย เรื่องแบบนี้มันต้องอาศัยมุมมองของผู้หญิงช่วย
ฉันสลัดความรู้สึกสมเพชตัวเองทิ้งไป แล้วออกตามหาแม่เพื่อจะชวนไปซื้อชุดด้วยกัน
“แม่คะ!” ฉันร้องเรียกเมื่อเจอแม่ในห้องสมุด พอฉันก้าวเข้าไป กลิ่นกระดาษเก่าผสมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ก็อบอวลไปทั่วจนแตะจมูก ผนังสามด้านเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดาน โดยมีบันไดเลื่อนสำหรับหยิบหนังสือได้ทุกชั้น โต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีตัวใหญ่ของแม่ตั้งอยู่หน้าหน้าต่างบานกว้างที่ยื่นออกไป ซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ป่าด้านหลังบ้าน
เท้าเปล่าของฉันสัมผัสพื้นไม้เนื้อแข็ง รับรู้ได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ นี่คือห้องโปรดของฉันในบ้านหลังนี้
“แม่คะ” ฉันเรียกอีกครั้ง แม่สะดุ้งโหยงจนตัวแทบลอยพร้อมกับรีบปิดหนังสือที่อ่านอยู่
“อ้าว ลูกรัก” แม่ทักอย่างมีพิรุธพลางปัดผมออกจากใบหน้า พอเห็นแววตาสงสัยของฉัน แม่ก็เปลี่ยนจากท่าทีตกใจในตอนแรกมาเป็นรอยยิ้มต้อนรับ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม่หมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอย่างหนัก ฉันเคยขอช่วยอยู่สองสามครั้งแต่ก็โดนไล่ออกมาทุกที ฉันยิ้มตอบเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหวังที่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงหลังๆ นี้
“หนูอยากให้แม่ไปเป็นเพื่อนซื้อชุดหน่อยค่ะ” ฉันพูดเสียงเบาพลางกัดเล็บตัวเอง
“มีหนุ่มคนไหนที่ลูกอยากจะทำให้ประทับใจเป็นพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ” แม่เย้า
ฉันรู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย “เขาบอกว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ แต่หนูอยากจะดูดีที่สุดสำหรับเขา” ฉันตอบเสียงค่อยแต่ดังพอให้แม่ได้ยิน
“เขาก็เป็นแฟนลูกนี่จ๊ะ สาวน้อยของแม่” แม่พูดพลางเดินอ้อมมาสวมกอดฉัน “เราจะทำให้เขาตะลึงจนคุกเข่าเลยคอยดูสิ”
การเดินทางสำหรับสองคนกลับกลายเป็นการเดินทางสำหรับสี่คน ฝาแฝดขอตามมาสมทบด้วยโดยที่เราไม่ได้เอ่ยปากชวน แล้วฉันเป็นใครกันถึงจะไปห้ามพวกเขาได้ล่ะ
จากความเงียบสงบภายในรถของครอบครัวสู่ห้างสรรพสินค้าที่อึกทึกคึกคัก ฉันต้องปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมที่เสียงดังจอแจก่อนจะเริ่มมองหาร้านชุดที่ถูกใจ แผนในหัวของฉันคือจะดูสักสามร้านแล้วเลือกชุดที่ชอบที่สุด แต่ฉันรู้ดีว่ามันคงไม่เป็นแบบนั้น แม่ของฉันทุ่มสุดตัวกับเรื่องนี้จริงๆ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกปรากฏบนใบหน้าฉัน เมื่อแม่ลากฉันเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เพื่อตามหาชุดที่ ‘ใช่’ ที่สุด
โนอาห์ลูบหัวฉันอย่างเอ็นดูพลางปลอบว่าอีกไม่นานมันก็จะจบแล้ว ส่วนโจนาห์กลับทำให้การตัดสินใจยืดเยื้อออกไปโดยการเสนอชุดที่เขาชอบเพิ่มเข้ามาอีกเรื่อยๆ
เราเข้าร้านสุดท้ายตามรายการในใจของแม่ เช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ผู้หญิงทุกคนในร้านหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาจ้องมองพี่ชายทั้งสองของฉันเป็นตาเดียว ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเขาทั้งคู่เกร็งขึ้นมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสาวๆ เหล่านั้น ฝาแฝดค่อนข้างขี้อายกับผู้หญิง พวกเขารู้ตัวว่าหน้าตาดีแต่ไม่เคยกล้าเข้าไปคุยหรือแม้แต่ชวนผู้หญิงคนไหนไปเดทเลยสักครั้ง นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ฉันรู้ว่าปฏิกิริยาของสาวๆ เหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากการที่พี่ๆ เต็มใจมาเดินเลือกซื้อของด้วยตัวเอง ผู้ชายสองคนนี้เดินเข้ามาเอง ไม่ได้ถูกแฟนสาวลากมาเหมือนคนอื่นๆ
และก็เป็นอย่างที่ฉันเดาไว้ พนักงานขายสาวท่าทางกระตือรือร้นเกินเหตุคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเรา แต่สายตาของหล่อนจับจ้องอยู่ที่พี่ชายทั้งสองเป็นหลัก ก่อนจะปรายตามองฉันแวบหนึ่งราวกับว่าฉันต่ำต้อยกว่าหล่อนนักหนา มันเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของผู้หญิงเมื่อเห็น ‘คู่แข่ง’ อยู่ข้างๆ ผู้ชายที่พวกเธอหมายตา
ดูเหมือนแม่ของฉันจะเห็นเหตุการณ์นั้นพอดีจึงรีบก้าวเข้ามาขวาง “เรากำลังมองหาชุดไปงานพรอมให้เอ็มม่าน้อยคนนี้ของเราอยู่จ้ะ ขอแบบเรียบง่ายแต่ดูโดดเด่นสะดุดตา” แม่บอกหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็สูดจมูกดมกลิ่นในอากาศเบาๆ ‘มนุษย์. ช่างไร้มารยาทเสียจริงนะหล่อน’
ค่ะ คุณผู้หญิง” หล่อนตอบพลางมองแม่ของฉันอย่างทึ่ง นอกจากผมสีเข้มสวยของแม่แล้ว ดวงตาสีฟ้าเข้มของท่านก็สะกดคุณได้ตั้งแต่แรกเห็น เช่นเดียวกับผิวสีมะกอกเนียนละเอียดเป็นธรรมชาติ และรูปร่างที่เพรียวบางแต่มีส่วนโค้งส่วนเว้าได้รูป – เป็นส่วนผสมที่น่าอิจฉา พวกพี่ชายของฉันได้เชื้อสายอิตาเลียนเข้มข้นมาจากแม่ ทำให้พวกเขามีเสน่ห์เย้ายวนตามธรรมชาติ ส่วนฉันได้ความงามราวกับนางฟ้ามาจากพ่อ
‘เมสันกำลังมา’ โจนาห์บอกข่าวนี้ก่อนจะเดินตามโนอาห์กับแม่ไปอีกฝั่งของร้าน
ฉันหวังว่าเขาจะไม่มาเพิ่มแรงกดดันเรื่องซื้อชุดนี่อีกนะ ทำไมมันน่าเครียดขนาดนี้นะ มันก็แค่งานคืนเดียวเอง ไอ้การแค่เดินเข้าร้าน เลือกชุด แล้วก็ออกมาเลยมันหายไปไหนหมดแล้วเนี่ย “งานพรอมงี่เง่า ชุดบ้าๆ” ฉันพึมพำกับตัวเองขณะมองราวแขวนชุดที่ดูโป๊ๆ
“นั่นบ่นให้เอเดนฟังหรือให้ฉันฟังกันแน่” เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูฉัน
“พระเจ้า!!” ฉันกรีดร้องออกมา อาจจะทำเอาทั้งตัวเองและลูกค้าคนอื่นๆ หัวใจวาย
ฉันทิ้งน้ำหนักตัวพิงราวแขวนเสื้อ พยายามสงบใจที่เต้นรัว ขณะที่เมสันงอตัวหัวเราะลั่น
“ฉันแค่เหม่อไปหน่อย มันไม่เห็นจะน่าขำขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันพึมพำ พยายามหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของลูกค้าคนอื่นๆ
“ขอโทษนะ เอมมี่” เขาพูดพลางดึงฉันเข้าไปกอดแน่นเหมือนหมี “เธอนี่มันแกล้งให้ตกใจง่ายจริงๆ”
“ก็ดีนะที่นายฉวยโอกาสจากเรื่องนั้น” ฉันพูดพลางพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา
“ขอโทษทีน่า เอาน่า ไปเลือกชุดของเธอได้แล้ว จากนั้นค่อยไปศูนย์อาหารกัน”
พวกเราเจอแม่กำลังวุ่นวายอยู่ระหว่างราวแขวนชุด โดยใช้ฝาแฝดเป็นชั้นวางของเคลื่อนที่ ชุดแต่ละตัวที่แม่ชอบจะถูกวางไว้บนแขนที่ยื่นออกมาของพวกเขา ข้างๆ พวกเขามีผู้หญิงหลายคนกำลังรุมล้อมชื่นชม ชมว่าพวกเขาน่ารักมากที่ช่วยแม่ถือของ มันเป็นภาพที่น่ารักจริงๆ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
‘โว้ย! เธอนั่นแหละที่ต้องใช้ของพวกนี้ มานี่เดี๋ยวนี้เลย แม่จะบ้าไปแล้ว’ โจนาห์พูดกับฉันพลางทำหน้าบึ้ง
‘ใจเย็นๆน่า พี่ชายสุดที่รัก พวกนายสองคนตกลงมาด้วยกันเองนะ นี่มันเป็นส่วนหนึ่งของทริปเราอยู่แล้ว’ ฉันตอบเขาพลางยิ้มกริ่ม ทั้งสองคนเห็นแม่หมุนตัวกลับ เตรียมจะออกจากร้าน
‘เอ่อ... เธอจะไปไหนน่ะ’ โนอาห์ถามพลางปัดมือผู้หญิงคนหนึ่งออกจากต้นแขน
‘ศูนย์อาหาร’
‘โอ้ ไม่ๆๆ เธอน่ะ ยัยตัวดี ต้องมานี่แล้วช่วยหยุดแม่ก่อนที่ท่านจะเลยเถิดไปกันใหญ่’ โจนาห์ตอบ
‘ถ่วงเวลาแม่ไว้หน่อยสิ อีกชั่วโมงสองชั่วโมงเดี๋ยวฉันกลับมา’ ฉันโต้กลับ เราสามคนยืนคุมเชิงกันเงียบๆ ฉันค่อยๆ ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเรา ฉันก้าวถอยไปอีกก้าวแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของโจนาห์ทำให้ฉันหยุดชะงัก
“โอ้! แม่ครับดูสิ! เอมมี่อยู่นี่แล้ว เธอบอกว่าเธอจะลองชุดสองสามตัว เพราะเธอชอบชุดส่วนใหญ่ที่นี่” โจนาห์พูดเสียงดังเมื่อแม่ของเราเดินกลับมาหาพวกเขา ดวงตาเป็นประกายของแม่สื่อความหมายมากมาย ดูเหมือนท่านรอคอยช่วงเวลานี้อยู่แล้ว ข้างหลังฉัน เมสันผิวปากเบาๆ “นี่มันทรยศกันชัดๆ” เขาพึมพำ ฝาแฝดยิ้มเยาะเหมือนกันเปี๊ยบขณะที่แม่เดินมาข้างฉันแล้วลากฉันไปยังห้องลองชุด
“แล้วการช้อปปิ้งออนไลน์มันหายไปไหนหมดแล้วเนี่ย นี่มันงานบ้านชัดๆ” ฉันพึมพำ
“เร็วเข้าสิเอมมี่ ฉันไม่มีเวลาทั้งวันนะ” ฉันได้ยินเสียงเมสันตะโกนมาจากบริเวณที่นั่งพัก
หมอนี่มัน!!
“ฉันมาทำบ้าอะไรอยู่นี่เนี่ย เอเดนไม่สนด้วยซ้ำว่าฉันจะใส่กระสอบมันฝรั่งไปงาน” ฉันพึมพำขณะพยายามรูดซิปด้านหลังของชุดเดรสยาวสีดำที่ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปตรงช่วงอก หลังจากลองชุดที่ไม่พอดีไปสี่ตัว ฉันก็เริ่มหงุดหงิด ฉันแอบมองออกไปข้างนอก ครอบครัวของฉัน แม่กำลังดูชุดเพิ่มอีก พวกฝาแฝดกำลังพยายามกันสาวๆ ออกไป ส่วนเมสันก็ทำเฉยเมยใส่ผู้หญิงอีกสองคน
‘เมส!!’
สายตาของเขามองตรงมาที่ฉันทันที พวกผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขาก็มองตามแล้วจ้องฉันเขม็งที่ไปดึงความสนใจของเขา
ฉันไม่ต้องพูดอะไรเลย เขาก็เดินมาหาฉันพร้อมรอยยิ้มเห็นใจแล้วลูบหัวฉันเบาๆ เขาเข้ามาในห้องลองชุดกับฉันแล้วนั่งลงบนพื้นข้างๆ ฉัน
"ไม่ผ่านเหรอ" เขาถามพลางพยักพเยิดไปทางชุดสีแดงน่าเกลียดที่ฉันสวมอยู่
"ฉันไม่เก่งเรื่องนี้เลย" ฉันพูดเบาๆ
"ฉันก็เหมือนกัน แต่ฉันก็มาอยู่กับเธอนี่ไง ใช่ไหมล่ะ"
"นายมาสอดแนมให้เพื่อนซี้ของนายต่างหาก" ฉันตอบพลางจิ้มเอวเขา
เขาหัวเราะแล้วตอบ "นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆ คือมาซื้อของกับน้องสาวต่างหาก"
ฉันถอนหายใจหนักๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าแม่กำลังเดินมาที่ประตู "ไปหาชุดให้เธอดีกว่า เธอเลือกเลยนะ" เขาพูดพลางช่วยพยุงฉันลุกขึ้น
เราเดินดูด้วยกัน ถามความเห็นกันไปมา วิจารณ์แบบต่างๆ แล้วสุดท้ายก็คุยออกนอกเรื่องไป ฉันกำลังดูราวสุดท้ายตอนที่เห็นชุดนั้น ชุดผ้าไหมสีเขียวมะกอก ติดตะขอที่คอ เปิดหลังเปลือยเปล่า จะเห็นร่องอกเพียงเล็กน้อยเพราะดีไซน์ค่อนข้างหวือหวา ความยาวไม่ถึงพื้น แค่เหนือข้อเท้าขึ้นมาหน่อย
"สวัสดียอดรัก" ฉันพูดกับชุดนั้นแล้วรีบเข้าไปลอง
พอดีเป๊ะ
ฉันก้าวออกมาให้ครอบครัวดู และปฏิกิริยาของพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคาดไว้ พวกผู้ชายลุกขึ้นยืนทันทีและพยักหน้าเห็นด้วย ฉันมองไปที่เมสันซึ่งตกอยู่ในภวังค์ขณะมองมาที่ฉัน
"ลูกเหมือนกับ..." แม่เริ่มพูดแล้วกระแอม
"ลูกสวยมากจริงๆ ยาหยีของแม่" แม่พูดแก้พลางน้ำตาไหลอาบแก้ม
แม่เข้ามากอดฉันแน่นจนแทบหายใจไม่ออก "โตขึ้นมาสวยจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลย ลูกยังเป็นเด็กน้อยของแม่อยู่เลยนะ" แม่พูดพลางกอดฉันแน่นกว่าเดิม ขอบคุณพระแม่เจ้าสำหรับพละกำลังของมนุษย์หมาป่า
เมื่อผละออกจากฉัน แม่ก็บอกพนักงานขายว่าเราจะเอาชุดนี้ ฉันมองไปทางเมสัน เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
"เป็นอะไรไปเหรอ" ฉันถาม
"เราได้สาวสวยที่สุดไปเป็นคู่เดตด้วยไงล่ะ" เขาตอบพร้อมรอยยิ้มทะเล้น
ที่เขาพูดว่า 'เรา' หมายถึงความจริงที่ว่าเอเดน เมสัน และฉันตัดสินใจไปด้วยกัน เมสันไม่สนใจผู้หญิงคนไหนที่จะมาเกาะแกะเขาตลอดทั้งคืน เขาเลยตัดสินใจไปคนเดียว เอเดนไม่ยอมและเสนอให้เราไปกันสามคน ฉันไม่มีปัญหาอะไรและตกลงง่ายๆ
"ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ฉันต้องไปเอาสูทของเราแล้วก็หาเนกไทให้เข้ากับชุดเธอด้วย" เขาพูดพลางเร่งให้ฉันเข้าไปในห้องลอง
"ทีนี้เราไปกินข้าวกันได้รึยัง" ฉันอ้อนวอนขณะที่เราออกมาจากร้านสุดท้ายที่หา 'เนกไทที่เพอร์เฟกต์ที่สุด' ตามคำบอกของเมสัน
"ก็ได้ นึกว่าผู้หญิงชอบช้อปปิ้งซะอีก" เขาพึมพำพลางพาฉันไปที่ศูนย์อาหาร
"ผู้หญิงอย่างฉันไม่ชอบย่ะ ทีนี้ไปหาอะไรมาให้กินด้วย ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว" ฉันพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างที่ใกล้ที่สุด
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" เขาพูดติดตลกพลางเดินไปที่ร้านซับเวย์
บางครั้งฉันก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันไม่ใช่คนชอบผจญภัย ไม่ใช่คนที่รู้ว่าจะทำเรื่องบ้าๆ อะไรต่อไป มันก็แค่ฉัน คนเงียบๆ เก็บตัว และช่างสังเกต
"อย่างน้อยเขาก็มองเธอถูกนะ ว่าเป็นราชนิกุล" เสียงแหบห้าวสำเนียงบริติชดังขึ้นข้างๆ ฉัน
ฉันหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ กอดอกในท่าสบายๆ ไม่เพียงแต่เขาจะหล่อเหลาโดดเด่นสำหรับผู้ชายที่ดูมีอายุหน่อย และเครื่องแต่งกายของเขาก็ราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารจีคิว แต่เป็นดวงตาของเขาต่างหากที่ทำให้ฉันประหลาดใจ สีเขียวของมันเป็นเฉดที่แปลกตา มีประกายสีทองเล็กๆ ทำให้ดูเหมือนอัญมณีหายาก ช่างน่าสงสัย ดวงตาของฉันก็มีลักษณะเดียวกัน ฉันแอบสูดกลิ่นในอากาศเบาๆ และสับสนในทันที กลิ่นของเขาไม่ใช่กลิ่นของพวกนอกคอกหรือฝูงที่อยู่ใกล้ๆ
"อะไรนะคะ" ฉันถาม
ดวงตาสีทองและเขียวระยิบระยับของเขาเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฉัน
"ถอดแบบกันมาเลย" ฉันได้ยินเขาพูด
"คุณกำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่าคะ" ฉันถามเมื่อได้ยินที่เขาพูด เขากำลังรอใครอยู่หรือ
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ หลายปีแล้วล่ะ เธอเป็น... ญาติของผมน่ะ" เขาพูดพลางเอียงคอเล็กน้อย มองฉันอย่างพิจารณา
การกระทำนี้ควรจะทำให้ฉันอึดอัด แต่เขากลับมีท่าทีเป็นมิตรอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกๆ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเวลาฉันเจอคนแปลกหน้า แต่ผู้ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้ฉันลดการระวังตัวลงบ้าง
"เจ้าชื่ออะไรหรือที่นี่ เจ้าหญิง?" เขาถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อบอุ่น
"อะไรนะคะ?"
เป็นคำถามที่แปลกพิลึก ฉันเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่บนเก้าอี้ มองหาทางที่จะลุกหนีจากสถานการณ์นี้
ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันแล้วพูดต่อ "คงมีเรื่องมากมายที่ถูกปิดบังจากเจ้าสินะ"
ตอนนี้ฉันทั้งสับสนและเริ่มหงุดหงิดกับคำพูดแปลกประหลาดของเขา
"ขอโทษนะคะคุณ แต่ฉันคิดว่าคุณคงจำคนผิด ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันต้องไปแล้วค่ะ" ฉันลุกขึ้นยืนและขอตัวอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามจะไม่ทำให้ชายผู้น่าสงสารคนนั้นขุ่นเคืองใจ
"เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยเอง เจ้าหญิงที่รักของข้า เจ้าช่างเหมือนหล่อนเหลือเกิน น่าเสียดายจริงๆ" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
เพ้อเจ้อสิ้นดี ช่างตาลุงชาวอังกฤษสติเฟื่องคนนั้นเถอะ
"ดูเหมือนเวลาของข้าที่นี่จะหมดลงแล้ว จนกว่าเราจะพบกันใหม่นะ เจ้าหญิงน้อย" เขาลุกพรวดขึ้นแล้วคว้ามือฉันด้วยท่าทีรวดเร็วและนุ่มนวล เขายกมือฉันขึ้นจรดริมฝีปากแล้วสัมผัสปลายนิ้วฉันอย่างช่ำชอง ฉันเคยเห็นมารยาทแบบนี้ในทีวี การกระทำของเขาทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ พอฉันได้สติกลับคืนมา ชายคนนั้นก็กำลังจะจากไปแล้ว
"นี่! คุณเป็นใครน่ะ?" ฉันตะโกนเรียก ฉันอาจจะไม่ทันสังเกตความรู้สึกนั้นถ้าไม่ใช่เพราะอาเลีย เธอบอกฉันถึงแรงดึงดูดที่อธิบายไม่ถูกที่มีต่อชายคนนั้น มันเหมือนความคุ้นเคยมากกว่า
เขาไม่หยุด เพียงแค่โบกมือง่ายๆ แล้วเดินจากไป
'อาเลีย! แน่ใจนะว่ารู้สึกแบบนั้น?' ฉันถามหมาป่าในตัวฉัน
'ค่ะ! มันรู้สึกเหมือนของครอบครัวเรา แต่... 'ใช่' กว่า' เธอตอบ ความสับสนของเธอเหมือนกับของฉัน และคำพูดของเธอก็ทำให้ฉันกังวลมาก ฉันว่าฉันต้องคุยกับพ่อแม่แล้วล่ะ
เมสันกลับมาในอีกครู่ต่อมาขณะที่ฉันกำลังจมอยู่ในความคิด มันทำให้ฉันปวดหัว อะไรจะถูกเปิดเผยกันนะ? คำพูดของชายแปลกหน้ากับคำถามในใจของฉันมันยุ่งเหยิงไปหมด ฉันอยากได้กาแฟสักแก้ว
"โร้ค!"
"หืม? อะไรนะ?" ฉันไม่ทันได้ฟังชัดว่าเขาพูดอะไร และก็ไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเขา เขาคว้ามือฉันแล้วจูงไปยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว จากสีหน้าเคร่งขรึมของเขากับการเหลือบมองมาทางฉัน ฉันรู้ว่าเขากำลังรายงานเรื่องทั้งหมดให้ครอบครัวฉันฟัง ฉันไม่ได้ถามอะไรเขา มันเป็นไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว
ฉันเงียบและทบทวนการพบปะสั้นๆ กับชายคนนั้น นอกจากความรู้สึกคุ้นเคยหรือความผูกพันที่อาเลียรู้สึก ดวงตาของเขาก็เป็นอีกสิ่งที่โดดเด่น มันเหมือนกับตาของฉันไม่มีผิด เมื่อมองกระจก ฉันชี้ให้เห็นความคล้ายคลึงกันเงียบๆ แล้วฉันก็นึกถึงผมสีน้ำตาลแซมเทาของเขากับใบหน้าที่ได้รูป
แปลกจัง
"เอ็มม่า" ฉันได้ยินเสียงเมสันตะโกนเรียก
"หือ? มีอะไรเหรอ?" ฉันถาม ตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นว่าเราถึงบ้านแล้ว ทั้งครอบครัวของฉันรีบวิ่งมาที่รถพร้อมกับเอเดน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว
ทำไมพวกเขาถึงกลัวกันนะ? มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?
เอเดนรีบเข้ามาอยู่ข้างฉันแล้วโอบแขนรอบตัวฉัน "ขอบคุณพระเจ้า เธอปลอดภัย" เขาพึมพำข้างหูแล้วจูบที่ศีรษะฉัน ทำไมฉันจะไม่ปลอดภัยล่ะ?
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ฉันเห็นครอบครัวของฉันสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาทำท่าที 'สงบ' พวกเขาดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างและรู้สึกไม่สบายใจกับมัน
"มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?" ฉันโพล่งถามออกไป
พ่อของฉันอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างปัดๆ แต่ฉันพูดแทรกขึ้น "ฉันว่าถึงเวลาที่เราควรจะคุยกันแล้วใช่ไหมคะ?"
ความเงียบที่น่าอึดอัดและตึงเครียดผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันก้าวเข้าไปหาพวกเขา รอคอยคำตอบ พี่ชายของฉันเป็นคนพูดขึ้นก่อน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล แต่เขาก็กัดฟันพูดในสิ่งที่ต้องพูด
"พวกเราขอโทษนะ เอ็มม่า"
































































































































































































































