9.

เอ็มม่า

ใครจะไปคิดว่าโอกาสเดียวที่ฉันจะได้เดินทางคือตอนที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทั้งหวานและขมขื่นเสียจริง

เราใช้เวลาทั้งวันวิ่งในร่างหมาป่า หลบหลีกอาณาเขตของฝูงอื่นและพวกหมาป่าเถื่อน ฉันรู้สึกแย่ที่แปลงร่างไม่ได้แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่ต้องกังวล มันช่วยให้ฉันปลอดภัย

ปลอดภัย

ปลอดภัยจากอะไรกันแน่ ทั้งหมดที่ฉันรู้คือลุงของฉันต้องไม่รู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่ ฉันรู้ว่าฉันควรถามคำถามมากมาย มันติดอยู่ในหัวฉันตั้งแต่เรื่อง ‘ไม่ใช่พ่อแม่ของเธอ’ นั่นแล้ว แต่ฉันก็กลัวสิ่งที่กำลังจะถูกเปิดเผย มันคงต้องแย่มากแน่ๆ ถ้าพ่อแม่ถึงกับส่งฉันหนีไปเพื่อปกป้องฉัน

‘อย่างน้อยเราก็รู้ว่าพวกเขารักเราใช่ไหม’ อาเลียพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเจือความหวัง เธอพยายามเข้มแข็งเพื่อฉัน

ความเศร้าถาโถมเข้าใส่ฉันขณะที่ฉันเกาะโจนาห์แน่นตอนที่เขาวิ่งผ่านป่าทึบ

เมสัน เอเดน แม่กับพ่อ

ฉันจะได้เจอพวกเขาอีกไหมนะ พวกเขาบาดเจ็บหรือเปล่า ฝูงของเรารอดไหม พวกนั้นต้องการอะไรจากฉัน

ส่วนหนึ่งในใจฉันอยากจะปัดความกังวลนั้นทิ้งไป ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือเรียนให้จบแล้วไปงานพรอมกับเพื่อนสนิท โดยหลักๆ แล้ว ฉันแค่อยากจะสนุกกับสิทธิพิเศษช่วงมัธยมปลายปีสุดท้ายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด ฉันซุกหน้าเข้ากับขนของโจนาห์ลึกกว่าเดิม ตัวฉันสั่นเทาเพราะเสียงสะอื้น ฉันได้ยินเสียงครางหงิงๆ ของพวกเขาทั้งคู่ตอนที่ฉันร้องไห้ โนอาห์วิ่งเข้ามาใกล้เรา ฉันเงยหน้ามองเขาและเห็นแววตาเศร้าสร้อยแบบเดียวกันในดวงตาของเขา

“เราต้องคิดในแง่ดีที่สุด เชื่อว่าพวกเขาไม่เป็นไร” โจนาห์พูดกับฉัน

“ฉันจะพยายาม” ฉันตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

“ฉันมั่นใจว่าพวกเขาอยากให้เธอเข้มแข็ง โดยเฉพาะเอเดน” โนอาห์พูด

“ฉันคิดถึงพวกเขามากเหลือเกิน ฉันจะพยายามเข้มแข็งขึ้น” ฉันพูดพลางเช็ดน้ำตาด้วยขนของโจนาห์

เราเดินทางกันต่อทั้งคืนหลังจากพัก 15 นาทีเพื่อล่าเหยื่อและงีบหลับ ขณะที่ฉันนั่งอยู่บนพื้นดินชื้นแฉะ ฉันก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้พวกเขาฟัง

“เมื่อวันเกิดอายุสิบแปดของเธอใกล้เข้ามา พลังของเธอก็จะเริ่มปรากฏ เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นพลังอะไร แต่คอยสังเกตไว้ก็ไม่เสียหาย ดังนั้นในสถานการณ์ที่อารมณ์อ่อนไหว พรสวรรค์พิเศษบางอย่างอาจจะแสดงออกมาหรือไม่ก็ได้” โจนาห์พูดอย่างใจเย็น

ฉันถอนหายใจ เอาล่ะสิ ตอนนี้หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสแล้วใช่ไหม

“พ่อแม่จริงๆ ของฉันเป็นใคร” ฉันถามพลางมองหน้าพวกเขาทั้งสองคน

โนอาห์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่ฉันสะพายอยู่แล้วหยิบซองจดหมายออกมาซองหนึ่ง

“พวกเขาบอกให้เรามอบสิ่งนี้ให้เธอในวันเกิดอายุสิบแปด ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในนี้จะช่วยให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น คำถาม ‘ทำไม’ ทั้งหลายที่เธออาจจะสงสัย” โนอาห์พูดพลางยื่นซองจดหมายให้ฉัน

มือของฉันสั่นอย่างเห็นได้ชัดตอนที่รับมันมา มันมีน้ำหนักนิดหน่อยแต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ

ฉันกำลังต่อสู้กับตัวเอง ฉันอยากรู้ความจริงหรือเปล่านะ บางทีฉันควรรอให้ทุกอย่างคลี่คลายไปเอง ฉันมีวัยเด็กที่ยอดเยี่ยมและฉันก็เข้าใจว่าพวกเขาโกหกเพื่อปกป้องฉัน พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตเพราะรักฉัน แต่อีกใจหนึ่ง ฉันก็อยากรู้ว่าทำไมพ่อแม่ที่แท้จริงของฉันถึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำลงไป

“ให้เราไปถึงที่ปลอดภัยก่อนเถอะ แล้วฉันค่อยจัดการกับ...เรื่องทั้งหมดนี้” ฉันพูดพลางลุกขึ้น

พวกเขาก็เดินตามฉันไปทางทิศเหนือตามที่เราวางแผนไว้แต่แรก

เราเดินทางกันไปอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง

“เราใกล้จะถึงแล้ว” โนอาห์พูดขณะเดินอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก

การวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเอาชีวิตรอดมาสามวันครึ่งและต้องผจญภัยในป่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ร่างกายฉันปวดเมื่อยไปหมด และอาเลียก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขึ้นเลย เธอดูหงุดหงิดและกระวนกระวายด้วยเหตุผลบางอย่าง และไม่อยากจะพูดอะไร

อากาศเริ่มเย็นลงแต่ก็ยังสดชื่น มันผ่อนคลายมากจริงๆ บริเวณป่าที่เรากำลังเดินผ่านนั้นช่างดูราวกับมีมนตร์สะกดสำหรับฉัน แสงแดดสาดส่องลอดใบไม้ลงมาต้องไหล่เปลือยของฉัน ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าพึงพอใจ

"ที่นี่... สวยจังเลย" ฉันพูดพลางมองไปรอบๆ บริเวณ

ต้นไม้สูงตระหง่านสง่างาม ระหว่างต้นไม้มีดอกไม้ป่าขึ้นอยู่เองตามธรรมชาติ ฉันวิ่งนำหน้าพวกพี่ๆ ไปเพื่อจะได้เห็นอะไรมากขึ้น

"เอ็มม่า!" พี่โจนาห์พูดด้วยน้ำเสียงของพี่ชายคนโต "ค่า รู้แล้วน่า" ฉันพูดพลางแลบลิ้นใส่เขา

พอวิ่งออกไปไกลขึ้น ฉันก็ทะลุแนวต้นไม้ออกไปเห็นแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยๆ ปลาว่ายเข้าออกจากซอกหิน ริมฝั่งแม่น้ำก็มีดอกไม้ป่าขึ้นเรียงรายอย่างสวยงาม ฉันเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยแล้วนั่งลงท่ามกลางดงดอกไม้ป่า

ทิวทัศน์นั้นสงบมาก และฉันก็เหนื่อยมากจนต้องเอนหลังลงหลับตา

เสียงหัวเราะของพวกพี่ๆ ทำให้ริมฝีปากฉันแย้มยิ้มขณะขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น

"ฉันว่าเราพักได้แล้วล่ะ เราอยู่เลยเขตแดนของฝูงมานิดหน่อยแล้ว" ฉันได้ยินพี่โนอาห์พูดก่อนจะรู้สึกถึงร่างอุ่นขนฟูมานอนอยู่ข้างๆ แล้วฉันก็ปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำ

"เอเดน หยุดนะ" ฉันหัวเราะพลางพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนเขา "แล้วทำไมฉันต้องหยุดด้วยล่ะ" เขาถามพลางจูบซอกคอฉัน "ก็เพราะเราอยู่ในที่สาธารณะนี่นา คนอื่นเขามองกันหมดแล้ว" ฉันพูดกลั้นเสียงครางขณะที่เขาขบเม้มใบหูฉันเบาๆ

"ดีแล้ว ให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าเธอเป็นของใคร เธอเป็นของฉัน เอ็มม่า ทั้งตอนนี้และตลอดไป ฉันจะรักเธอเสมอ" เขาพูดข้างหูฉัน

ฉันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่ต้นคอ "ฉันจะทำให้เธอเป็นของฉัน" เขาพูดต่อขณะที่ฉันรู้สึกได้ถึงเขี้ยวของเขาที่เฉียดผ่านต้นคอ

"แต่ฉันไม่ใช่คู่แท้ของคุณนี่" ฉันพูดเบาๆ มันไม่ถูกต้อง ฉันรักเขา แต่คู่แท้ของฉัน... ฉันต้องการอีกครึ่งหนึ่งของฉันเพื่อเติมเต็ม

"ใช่สิ เธอเป็นลูน่าของฉัน" เขาคำรามพลางกัดลงบนตำแหน่งที่จะตีตรา มันเจ็บปวดแต่แล้วความซ่านสุขก็เข้ามาแทนที่ในไม่ช้า เขาถอยห่างแล้วเดินจากไป

"เอเดน!!" ฉันร้องเรียก แต่เขาไม่หันกลับมา "หัวใจของฉันเป็นของเธอเสมอ เอ็มม่า แต่ดูเหมือนว่าหัวใจของเธอไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้ว" ฉันได้ยินเขาพูด

น้ำตาไหลอาบแก้มขณะที่ฉันร้องเรียกเขาอ้อนวอนให้เขาหยุด

เสียงคำรามดังขึ้นรอบตัวฉันขณะที่รู้สึกเหมือนมีอะไรงับเบาๆ ที่ไหล่ ฉันสะดุ้งผุดลุกขึ้นจากพื้นมองไปรอบๆ อย่างสับสน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างดึงฉันกลับลงไป พี่โนอาห์ใช้ร่างของเขาบังฉันไว้ขณะที่พี่โจนาห์ยืนคำรามอย่างปกป้องอยู่ข้างๆ

"หมอบไว้" พี่โจนาห์สั่ง

พวกเขายืนเป็นแนวรูปตัววีขณะที่ฉันได้ยินเสียงหอนใกล้เข้ามา

"พวกนอกคอก" พี่โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

"ไป!" พี่โจนาห์สั่ง ไม่ต้องให้พูดซ้ำสองฉันก็เผ่นตามพี่โนอาห์ไปทันที

พี่โจนาห์ตามมาติดๆ ขณะที่ฉันได้ยินเสียงคำรามอย่างป่าเถื่อนดังอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต

เราวิ่งลึกเข้าไปตามริมแม่น้ำโดยไม่หันหลังกลับ เราเร็วกว่าพวกนอกคอกซึ่งทำให้เราได้เปรียบ

กลิ่นไม้สนเข้มข้นปะทะเข้าจมูกฉันอย่างจังขณะวิ่งผ่านต้นไม้ล้มบางต้น

เราอยู่ที่แนวเขตแดนของฝูงแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกนอกคอกหยุด

"เธอต้องหยุดพวกมัน" อาเลียพูดกับฉัน

"ยังไงล่ะ" ฉันถาม

“พลังใหม่ของเจ้าไงล่ะ แค่ตั้งสมาธิผลักพวกมันออกไปจากเราก็พอ ตอนนี้เลย เอ็มม่า” อาเลียสั่ง

ฉันหยุดกึกแล้วหันไปทางฝูงหมาป่า พวกมันมีหกตัว ดวงตาสีแดงฉานวาวโรจน์ ทุกอากัปกิริยาของพวกมันคือสัญชาตญาณนักล่า

ตามสัญชาตญาณ ฉันยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป และตั้งสมาธิที่จะผลักพวกมันออกไปจากเราอย่างที่อาเลียบอก

ตาฉันเบิกกว้างเมื่อเห็นพวกมันทั้งหกตัวลอยกระเด็นไปไกลแปดฟุตจากตัวฉัน สองตัวกระแทกเข้ากับต้นไม้ ส่วนตัวอื่นๆ ก็ร่วงลงกระแทกพื้นป่าอย่างแรง มันราวกับมีโล่ล่องหนที่สร้างจากมือของฉัน ผลักดันทุกสิ่งที่อยู่ในอาณาเขตของมัน

ฉันมองมือตัวเองอย่างตกตะลึงแล้วทรุดลงกับพื้น

“ทำได้ดีมาก เจ้ามีพรสวรรค์ด้านพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ กว่าข้าจะได้คำตอบจากท่านแม่ก็ใช้เวลาพักหนึ่งเลยล่ะ” อาเลียพูดอย่างยินดี

ฉันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พี่ชายทั้งสองก็เข้ามาบังฉันไว้ทันที เสียงขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อป้องกันตัวดังอยู่รอบกายพวกเรา ฉันกอดเข่าชิดอก โนอาห์กับโจนาห์ตั้งท่าป้องกัน เตรียมพร้อมจู่โจม

“อย่าขยับจนกว่าพวกเราจะบอก” โนอาห์พูดพลางขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น ขณะที่ฉันมองลอดช่องว่างเห็นหมาป่าสีเทาตัวใหญ่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเรา พลังอำนาจมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างของมันขณะย่างสามขุมเข้ามา

อัลฟ่า

มันแยกเขี้ยวใส่พี่ๆ ของฉัน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมสยบ

ความกลัวก่อตัวขึ้นในอกฉันเมื่อหมาป่าอีกสองตัวขนาบข้างหมาป่าสีเทาตัวนั้น ขนคอของฝาแฝดลุกชันเมื่อเห็นภาพนั้น พวกมันจะฆ่าเราโทษฐานบุกรุกแน่ๆ เสียงครางแผ่วๆ หลุดรอดจากริมฝีปากฉันก่อนที่จะทันได้ห้าม

หัวของหมาป่าสีเทาหันขวับมาจ้องเขม็งที่ฉัน ฉันหลับตาปี๋แล้วเบียดตัวเข้าหาโนอาห์มากขึ้น “จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ” โจนาห์ปลอบฉัน

เสียงกระดูกลั่นเปรี๊ยะขณะเปลี่ยนร่างและน้ำเสียงทุ้มกังวานทรงพลังของผู้ชายคนหนึ่งทำให้ฉันต้องลืมตา

"ใจเย็นๆ พวกเราไม่คิดทำร้ายพวกเจ้า" ชายคนนั้นพูด ใช่สิ การไว้ใจใครง่ายๆ แบบไม่ลืมหูลืมตามันไม่มีอีกแล้วสำหรับฉัน ฉันมองเขาผ่านช่องว่างเล็กๆ ที่พอจะมองเห็น

เขาดูอายุมากกว่าพวกเรา ผมสีเข้มของเขาตัดสั้นและเริ่มมีสีเทาแซมบริเวณขมับ รูปร่างของเขาเพรียวบางแต่ก็ดูออกว่าแข็งแรงมากเหมือนสมัยหนุ่มๆ ดวงตาสีฟ้าสดใสน่าพิศวงของเขาตรึงฉันไว้ในภวังค์ยามที่เขามองตรงมา

‘เขาพูดความจริง ปลอดภัยแล้ว’ เสียงของอาเลียดังขึ้นในหัว

ฉันยังคงนั่งอยู่ที่พื้นขณะบอกพี่น้องฝาแฝดว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขามองหน้าฉันแล้วพยักหน้า กางเกงขาสั้นสองตัวถูกโยนไปให้พวกเขาก่อนที่ทั้งคู่จะคืนร่างมนุษย์

ชายตรงหน้าพวกเราเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองของฉัน จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกว่าพี่ชายฝาแฝดของฉันเป็นคู่เดียวที่เกิดในรอบยี่สิบปี? ฉันอาจจะลืมบอกไปว่าพวกเขาเป็นฝาแฝดคู่เดียวในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา

หมาป่าในฝูงทีละตัวเริ่มคืนร่างกลับเป็นมนุษย์

โจนาห์รีบดึงฉันให้ลุกขึ้นแล้วให้ฉันไปหลบอยู่ข้างหลังเขา ส่วนโนอาห์ก็จับมือฉันไว้

"ข้าคือแอนเจโล อัลฟ่าแห่งฝูงดาร์คมูน บอกข้ามาซิว่าพวกเจ้า เหล่าคนจร มาทำอะไรในอาณาเขตของข้า?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอำนาจ

ฉันสูดหายใจเข้าอย่างตกใจ ฝูงดาร์คมูนเป็นฝูงที่แข็งแกร่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครกล้ารบกวนความสงบของพวกเขา พวกเขาไม่เคยปรานีเมื่อถึงคราวต้องต่อสู้ ในบรรดาฝูงทั้งหมดที่เราหนีมา เราดันเลือกมาที่นี่ ฉันโทษทิวทัศน์นี่แหละ สวยงามจับใจเกินไป ดุจแมงเม่าหลงใหลในแสงไฟจากตะเกียงไฟฟ้า

"พวกเราเป็นผู้รอดชีวิตจากฝูงมูนดัสต์ กำลังมาขอพึ่งใบบุญท่านครับ ฝูงของพวกเราถูกโจมตีเมื่อสามวันก่อน พวกเราไม่ทราบเลยว่าหลังจากที่หนีออกมาแล้วพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง" โจนาห์พูดอย่างใจเย็น

ถ้อยคำสุดท้ายในคำแถลงของเขาต่ออัลฟ่าทำให้ฉันขบเม้มริมฝีปากล่าง ร่างกายฉันเกร็งด้วยความกังวลจนต้องกอดโจนาห์จากด้านหลัง ฉันรู้สึกถึงมือของเขาวางทับมือฉัน ทำให้ฉันอุ่นใจอย่างที่สุด

"มูนดัสต์ นั่นเป็นฝูงที่เก็บตัวและรักสงบที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยนะ ทำไมพวกเขาถึงโจมตีฝูงที่ไม่มีพิษมีภัยแบบนั้นล่ะ" เขาถามด้วยความสนใจ

"พวกเราไม่ทราบครับท่าน" โนอาห์ตอบ

ฉันชะโงกมองจากด้านหลังของโจนาห์ เห็นผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับฉันมองมาทางนี้ เขาส่งยิ้มขบขันให้แล้วก็ขยิบตา ทำเอาฉันเผลอหัวเราะคิกคักออกมาเสียงดัง

โนอาห์ดึงฉันถอยกลับไปอีก “ขอโทษค่ะ” ฉันบอกเขาพลางยิ้มเจื่อนๆ พี่คนนี้น่ะหวงฉันจะตาย โดยเฉพาะเวลาที่มีผู้ชายคนใหม่ๆ มาสนใจฉัน

มีเสียงคำรามดังมาจากอัลฟ่าก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น "เป็นเกียรติที่พวกเจ้ามาที่นี่ ไม่ใช่ทุกวันหรอกนะที่ข่าวลือซึ่งแพร่สะพัดเมื่อยี่สิบปีก่อนจะมาปรากฏตัวในอาณาเขตของข้า"

"พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง" เขาถาม

พวกเขาทั้งสองแนะนำตัวเองแล้วก็หยุดเมื่อถึงตาฉัน ทั้งคู่จับมือฉันคนละข้างแล้วพาฉันเดินออกมาข้างหน้า ฉันก้มหน้าขณะเดินเข้าไปในระยะสายตา

มีเสียงซุบซิบแผ่วเบาดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะเงียบไป

"และนี่คือน้องสาวของพวกเรา..." โจนาห์เอ่ย "เอ็มม่าครับ" โนอาห์พูดต่อจนจบ

ฉันไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อน มันน่าอึดอัดใจมาก ฉันถอยกลับไปหลบหลังโจนาห์แล้วชะโงกหน้าออกไปมองอีกครั้ง

"ขี้อายจังเลยนะ ว่าไหมล่ะ" อัลฟ่าแอนเจโลพูดอย่างขบขัน

"น้องไม่ค่อยถูกกับคนเยอะๆ ครับ โดยเฉพาะคนแปลกหน้า" โนอาห์อธิบาย แอนเจโลพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วมองไปที่สมาชิกฝูงของตน บางคนเดินจากไป ส่วนบางคนก็ยังคงรักษาระยะห่าง

"เข้ามาข้างในเถอะ คู่ของข้ากำชับให้ข้าพาพวกเจ้ากลับบ้าน และข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าคงต้องการอาหารดีๆ สักมื้อ" เขาพูด

"ขอบคุณท่านมากครับสำหรับความเอื้อเฟื้อ พวกเราหวังว่าจะได้ตอบแทนท่าน" โนอาห์กล่าวพลางโค้งคำนับเล็กน้อย

"นี่เป็นอย่างน้อยที่สุดที่ข้าพอจะทำได้" เขาพูดพลางยิ้มให้พวกเรา

พี่ชายทั้งสองของฉันเดินตามอัลฟ่าไปโดยให้ฉันอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา ขณะที่ฉันยังคงก้มหน้าอยู่

"ไง" ฉันได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง ฉันสะดุ้งจนเผลอชนเข้ากับโนอาห์ซึ่งคำรามใส่คนที่ทำให้ฉันตกใจ ฉันต้องตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน การถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวไม่ใช่เรื่องดีเลยในตอนนี้

"ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอตกใจ"

"แม็กซ์เวลล์" ฉันได้ยินเสียงอัลฟ่าเรียก ฉันหันกลับไปมอง เห็นผู้ชายคนที่ยิ้มให้ฉันก่อนหน้านี้

"สวัสดีค่ะ" ฉันพูดพลางยิ้มให้เขา เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย ฉันหันกลับแล้วเดินไปกับพวกพี่ชายขณะที่เราเข้าใกล้สนามหลังบ้านที่ใหญ่เท่าสนามฟุตบอล

เด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกัน ส่วนสมาชิกที่อาวุโสกว่าบางคนกับพวกวัยรุ่นก็นั่งเล่นพักผ่อนอยู่แถวนั้น

สองพี่น้องฝาแฝดเป็นที่สนใจของทุกคนอย่างแน่นอน พวกผู้หญิงเริ่มส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดว่าพวกเขาหล่อแค่ไหน ขณะที่สมาชิกที่อาวุโสกว่าก็ส่งยิ้มให้เป็นการทักทาย

“เนื้อหอมจังเลยนะคะ” ฉันพูดพลางแกว่งมือของพวกเขาทั้งสองข้าง

พวกเขาทั้งสองยิ้มมองลงมาที่ฉันอย่างขบขัน

“อีกไม่นานหรอก” พวกเขาทั้งคู่พูด

พวกเราถูกนำทางเข้าไปในห้องครัวซึ่งเป็นดั่งสวรรค์ของเชฟทุกคน ทุกอย่างเป็นสแตนเลสสตีล ฉันว่ามองดูแล้วไม่น่าจะมีรอยนิ้วมือให้เห็นเลยสักนิด

"โอ้ เทพธิดาของฉัน!" ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งหวีดร้อง พี่ชายทั้งสองกับฉันหันไปมองหญิงสาวร่างเล็กผมสีเข้มตาสีเทาที่กำลังพุ่งตรงมาทางพวกเรา รอยยิ้มของเธอไปถึงดวงตา ทำให้เธอดูราวกับนางฟ้าในสายตาฉัน ไม่ทันรู้ตัว พวกเราทั้งสามคนก็ถูกผู้หญิงคนนั้นกอดรัดแน่นมาก

"ยินดีต้อนรับสู่ดาร์คมูนนะจ๊ะ" เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น

บทก่อนหน้า
บทถัดไป