บทที่ 2 ชีวิตของหนุ่มน้อย

บทที่2 ชีวิตของหนุ่มน้อย

06:39

ตริ๊งง~~

กริ๊งง~~

เสียงนาฬิกาปลุกร้องระงมเจ้าของเตียงก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น กว่าข้าวปุ้นจะได้นอนก็ตี2ครึ่งแล้วเหมือนหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นมาช่วยป้าจัดร้านข้างล่าง

“ ฮาวว~~อื้อ~ ง่วงจัง  ”

แต่ดูเหมือนว่าสถานะการตอนนี้จะทำให้เด็กหนุ่มตกที่นั่งลำบากเพราะตัวเองดันตื่นสายเกินเวลามีหวังโดนป้าวัลย์ด่าเละแน่

ฮึ่บ!

“ อ่าา...เมื่อย! ”

ข้าวปุ้นพยายามดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอนโดยเร็วเพราะไม่อยากปิดเปลือกตาหลับต่อไปอีกครั้งเกรงว่างีบไปคราวนี้จะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกล่ะสิ เพราะป้าวัลย์ขึ้นมาฆ่าไอ้ปุ้นแน่นอน

“ ตายแล้ว! สายแล้วเนี่ย ”

ตื่นขึ้นมาได้ก็เกาหัวหยิกๆ รีบลุกขึ้นมาจากเตียง และเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนเอาไว้ตรงตู้เสื้อผ้า สองขาดิ่งตรงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายโดยไม่รีรอให้เวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ เพราะวันนี้ตนมีเรียนแต่เช้าด้วย ไหนจะต้องช่วยป้าจัดร้านอีกวุ่นวายแน่เช้านี้

ลักษณะที่อยู่อาศัยของข้าวปุ้นในตอนนี้ จะเป็นบ้านไม้ฝาเฌอร่า2ชั้น ข้างบนเป็นไม้ข้างล่างเป็นปูน หลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกันข้าวปุ้นก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ตั้งแต่เด็ก ป้าวัลย์แกรสมือดีเลยเปิดร้านขายขนมจีนหุ้นส่วนกับแม่ของตน แต่แล้วแกก็ต้องรับผิดชอบดูแลคนเดียวเพราะแม่บอกจะไปทำงานที่ต่างประเทศและส่งเงินมา ตั้งแต่วัยนั้นจนถึงวันนี้ก็เข้า7ปีแล้ว ยังไม่ได้ข่าวของแม่เลย ลำพังตัวข้าวปุ้นเองก็ไม่รู้ผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ว่ายังไง ช่วยอะไรได้ก็ช่วยถึงแม้จะไม่ได้เงินจากป้าเลยสักบาทก็เถอะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย

06:52

ใช้เวลาไม่นานข้าวปุ้นก็เดินลงมาจากชั้นบนด้วยชุดนักศึกษาสีขาวดูสะอาดตาสวมทับกับฮู้ดแขนยาวสีน้ำตาล บ้านเราไม่ได้เข้าหน้าร้อนหรอกแต่เพียงเพราะ หนุ่มน้อยหน้าหวานไม่อยากให้แขนโดนแดดจนไหม้เท่านั้นเอง

“เสด็จลงมาป่านนี้กลับขึ้นไปนอนเหมือนเดิมเถอะกูจัดร้านเสร็จแล้ว ! ”

“ ขอโทษจ้ะ พรุ่งนี้จะตื่นให้เร็วกว่านี้ ”

ข้าวปุ้นยกมือไหว้ขอโทษเพราะรู้สึกผิดจริงๆ

“ ไม่ต้องมาพูด! มึงนี่ไม่เคยรู้หน้าที่ของตัวเองเลยนะว่าต้องทำอะไร กูยืนจนขาแข็งทั้งวันเนี่ยกับอีแค่มาจัดหน้าร้านแทนกันหน่อยแค่นี้มันจะตายไหม ”

ดูเหมือนว่าป้าวัลย์จะไม่รับคำขอโทษและยังจะคอกใส่จนข้าวปุ้นตกใจ

" ฮึกก ! "

“ วันๆ ทำอะไรบ้างได้แต่เรียนกับขึ้นไปลอุดอู้อยู่บนห้อง ”

“ โถ่ ป้าปุ้นบอกแล้วไงว่าขอโทษกินน้ำเย็นให้ใจเย็นก่อนนะจ้ะป้า ”

โบราณบอกเอาไว้ว่าถ้าเกิดมีคนอารมณ์ไม่ดีก็ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ดวงตากลมเหลือบไปเห็นเหยือกน้ำกับแก้ววางอยู่บนโต๊ะ เหมาะเจาะเลยหวังดีจะรินน้ำให้ป้าดื่มเผื่อจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง

ฟึ่บ!

เคร้ง!!!!

" กูไม่แดก! " ไม่ต้องมาทำเอาใจกูเด็กขี้เกียจแบบมึงกูไม่ชอบ "

“ ฮึกก ”

แววตาสั่นไหวด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าการเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะไม่ได้ผล

ปึก!!

ป้าวัลย์ ใช้นิ้วชี้ผลักศีรษะเด็กหนุ่มจนเกือบเซ

“ อ่ะ ”

“ จำใส่กระโหลกไว้บ้างก็ดี ว่าที่มึงซุกหัวนอนอยู่ทุกวันนี้เนี่ยบ้านใคร เหอะ!! แม่เป็นยังไงลูกก็เป็นแบบนั้น เหมือนแม่มึงไม่มีผิดเลยนะไอ้ปุ้น ”

" ..... "

กี่ครั้งแล้วที่ข้าวปุ้นได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากป้า โมโหหรือไม่ถูกใจอะไรต้องโยงแม่เข้ามาเกี่ยวทุกทีข้าวปุ้นไม่ชอบเลย

“ ทิ้งภาระทุกอย่างให้กูมากี่ปีแล้ว หื้ม!! กูอยากจะบ้า!  ”

" .... "

“ ขี้ทิ้งไว้ให้และก็ให้กูตามเช็ดตามล้างตลอดแต่ตัวเองหนีไปมีชีวิตสุขสบายไม่หอบลูกหอบเต้าไปอยู่ด้วยกันให้หมดวะ ! ”

“ พอได้แล้ว ฮึกก ”

หนุ่มน้อยกมือกัดฟันแน่นตนยืนฟังป้าวัลย์พล่ามต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกคำที่ป้าพูดมามันเหมือนมีดกรีดแทงหัวใจลึกลงไปเรื่อยๆ

“ จะเถียงกูหรอ!! ไอ้ปุ้น ”

“ ใช่!! ”

เมื่อความอดทนมันมีขีดจำกัดก็ต้องระเบิดมันออกมา หยดน้ำตาไหลค่อยๆ ไหลลงมาเปอะแก้มใส ไม่มีเหตุผลไหนที่ข้าวปุ้นจะต้องยอมอีกแล้ว ศักดิ์ศรีของเด็กคนหนึ่งบั่นทอนลงไปเรื่อยๆเพราะคำพูดของผู้ใหญ่ ถ้าพูดในสิ่งที่ถูกเขาจะไม่เถียงเลย

“ ไอ้ปุ้น! กล้าขึ้นเสียงกับกูหรอห้ะ ”

หญิงดูมีอายุเบิกตากว้างหายใจถี่ใบหูแดงเถือกเพราะความโกรธที่ข้าวปุ้นเริ่มต่อต้าน

“ กี่ครั้งแล้วที่เวลาทะเลาะกันป้าต้องเอาแม่มาเอี่ยวด้วย ! ที่บ้านเนี่ยมีปุ้นคนเดียวสะที่ไหนอ่ะ ลุงเลิศก็อยู่ พี่แป๊ะก็อยู่ทำไมป้าไม่เคยด่าบ้างล่ะ ทุกเช้าปุ้นก็ช่วยงานตลอดก่อนไปเรียนทุกวันนี้เคยทำอะไรถูกใจป้าบ้าง มีแต่ด่า ๆ แช่ง ๆ ฮึกก ”

“ หยุดพูดก่อนที่กูจะโมโหไปมากกว่านี้ไอ้ปุ้น ! ”

“ ฮึกก ..ถ้าให้พูดจริงๆ ปุ้นเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยซ้ำป้าส่งเสียตรงไหนมีแต่ปุ้นรับจ๊อบหางานทำเองทั้งนั้น ทุกวันนี้ต้องแหกขี้ตาตื่นมาช่วยจัดร้านทุกเช้า ปุ้นก็ไม่เคยเอาเงินแม้แต่บาทเดียวกินข้าวก็ยังได้กินจากที่ป้าลุงและก็พี่แป๊ะกินเหลือทั้งนั้นอ่ะ ฮึกกก!! ฮือออหรือปุ้นไม่ใช่ลูกป้าถึงได้ทำกันแบบนี้ ”

“ไอ้ปุ้น! ”

เพี๊ยะ!!!

ใบหน้าเด็กหนุ่มหันไปตามแรงตบของฝ่ามือหยาบกร้าน มิหนำซ้ำยังโดนดึงทึ้งผมจนเซล้มลงไปนั่งกับพื้นอีก

หมับ!!!

" อ่า!! อ๊ะ ฮึกกกปุ้นเจ็บปล่อยๆๆๆ "

ฟุ่บ

“ อย่ามาอวดดีกับกูนะไอ้เด็กชิบหาย! ”

ตุ้บ! ตุ้บ ตุ้บ!

ฝ่ามือหยาบฟาดไปที่ลำตัวของเด็กหนุ่มไม่ยั้ง ร่างเล็กพยายามจะปกป้องตัวเองมากเท่าไหร่ก็โดนกล่าวหาว่าสู้คนแก่

“ ฮึกก พอแล้วป้าปุ้นเจ็บนะ ”

“ เจ็บสิดี! มึงจะได้จำว่าไม่ควรต่อปากต่อคำกับคนอย่างกู! ”

“ อื้อ ป้าปล่อยได้แล้วว ! ”

การกระทำของป้าไม่ได้มีความปราณีต่อหลานแท้ๆ เลยสักนิดข้าวปุ้นได้แต่เก็บมันเอาไว้ในใจด้วยความขมขื่นเพราะมันไม่อาจบรรยายให้ใครฟังได้ แต่ละวันถ้าไม่โดนด่าหรือว่าก็จะโดนตีแบบนี้ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหน้าร้านก็คงจะชินตาเสียแล้ว เลยไม่มีใครกล้าห้ามปรามใดๆ

“ พวกมึงอะไรนักหนาวะกูจะหลับจะนอนเสียงดังกันอยู่ได้ ”

ลุงเลิศ สามีของป้าวัลย์เปิดประตูห้องออกมาด้วยสีหน้างัวเงียเหมือนพึ่งตื่นนอน

“ สั่งสอนหลานตัวดีไงปากมันเสียดีนักกล้าเถียงกูฉอดๆ ”

ป้าวัลย์หันหน้าไปอธิบายกับผัวให้เข้าใจก่อนจะปล่อยมือออกจากเส้นผมเงาสลวยแต่เดิมเธอกำไว้แน่นจนหนังหัวข้าวปุ้นแทบหลุด

“ ฮึกก ”

เมื่อเด็กหนุ่มหลุดพ้นจากพันธนาการจึงรีบลุกขึ้นจากพื้นทันทีก่อนจะปัดละอองฝุ่นที่ติดตามเนื้อตัว ป้าวัลย์เห็นดังนั้นจึงกรอกตามองบนเธอไม่ชอบที่ข้าวปุ้นเป็นเด็กเจ้าสำอางค์รักสะอาด ทั้งที่บ้านของตัวเองใหญ่กว่ารูหนูแค่นิดเดียว

“ จะรีบไปเรียนก็ไปสะไอ้ปุ้น กูจะนอนมาเถียงเอะอะอะไรกันแต่เช้า ”

“ เป็นไปได้ก็ไม่ต้องกลับมา เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ "

เด็กหนุ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ ถ้าเป็นไปได้ตนจะหนีไปให้ไกลและไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย

“ ได้ ถ้าป้าออกปากไล่กันขนาดนี้ปุ้นจะไม่มาให้ป้าเห็นหน้าอีก ”

พูดจบข้าวปุ้นก็หยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองที่ร้านเลยสักนิด

“ หนอย แน่! ไอ้นี่มึงไปให้ไวเลยนะก่อนที่กูจะกระทืบมึง! "

ป้าวันหน้าแดงเถือกถ้าแกโกรธมากความดันจะขึ้นลุงเลิศที่ยืนมองเมียตัวเองอยู่ก็รู้ได้ดี

“ อ่าวๆ! อีแก่เดี๋ยวก็ตายห่ากันพอดีใจเย็นหน่อยสิวะ ”

- ป้ายรถเมล์ -

เด็กหนุ่มเดินจ้ำอ่าวมายังป้ายรถเมล์ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักเพราะระยะทางเดินข้าวปุ้นร้องไห้มาตลอดเลย ฝ่ามือ น้อยๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นตนในสภาพแบบนี้ เช้านี้อาจจะเป็นเช้าที่สดใสของใครหลายคน แต่สำหรับข้าวปุ้นนั้นความสดใสในเช้านี้ได้หายไปแล้ว

“ ฮึกก ทำไมต้องจิกหัวกันด้วยแถมยังทำร้ายร่างกายกันอีกรู้ไหมมัน เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕ แห่งประมวล กฎหมายอาญาแล้ว ”

ริมฝีปากอิ่มก็พร่ำบ่นมือก็จัดเซตทรงผมให้เข้าที่ไม่วายยังล้วงเอาโทรศัทพ์ขึ้นพิมพ์อะไรบางอย่าง โพสต์ลงไปบนโซเชียลเพื่อระบายอารมณ์

ตึ่ง!!

มันเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรจริงๆ นะแม้แต่แรงจะขึ้นรถเมล์ยังแทบไม่มีทำไมชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย เวรกรรมอะไรของข้าวปุ้นนะ

- บ้านภรัณ -

“ ตารัณวันนี้นัดทานข้าวกับคุณหญิงชมตอน4โมงเย็นนะว่างหรอเปล่า ”

ผู้เป็นแม่เดิมตามลูกชายลงมาจากบรรไดติดๆ

“ แม่เลื่อนออกไปได้เลยครับผมไม่ว่าง ”

ชายหนุ่มตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิดเพราะเขามีนัดอยู่แล้ว

“ อะไรกันแต่แม่นัดกับคุณหญิงไว้แล้วนะ จะเบี้ยวงั้นหรอเสียมารยาทนะ ”

ท่าทางเจ้าหล่อนจะไม่ยอมอีกทั้ง แล้วหรือให้ลูกชายไปทานข้าวกับคุณหญิงชมพู เพราะจุดประสงค์ของเธอนั้นอยากให้ลูกชายได้เจอกับลูกสาวของคุณหญิงชมพูเพื่อดูตัวกัน ได้ข่าวมาว่าพึ่งจบจาก มหาลัยฮาร์วาร์ดดีกรีนักเรียนดีเด่นอันดับท็อปของห้อง แค่เธอได้ฟังก็ฟังรู้สึกว่าเหมาะสมกันเลย

“ แม่จะให้ผมเจอกับศิรินใช่ไหมครับ ? "

“ ว๊าย ตาย!! ลูกรู้หรอ ?? "

ผู้เป็นแม่แกล้งตกใจเอามือปิดปาก เพราะไม่อยากให้ลูกจับไต๋ได้ เพราะภรัณดันรู้ความคิดเธอนี่สิ

“ แม่ล้มเลิกความคิดนี้ได้เลยเพราะให้ตายยังไงผมจะไม่หมั้นกับศิรินเด็ดขาด ”

ภรัณยื่นคำขาดเขาพูดคำไหนคำนั้นเขาไม่ชอบการบังคับเป็นที่สุด

“ ทำไมล่ะลูก~ หนูศิเขาออกจะสวยและน่ารักแถมฐานนะทางบ้านก็ดีคิดดูสิท่าได้ดองกันธุรกิจจะปังแค่ไหน ”

เขาคิดอะไรไม่เคยพลาดแวดวงการนี้เขาไม่สนใจกันหรอกว่ารักหรือไม่รัก ส่วนใหญ่จะเน้นคบดับคนระดับเดียวกันนำพาธุรกิจไปสู่จุดสูงสุดโดยไม่คิดถึงใจ คนทั้งคู่ที่เป็นหมากในเกมของผู้ใหญ่แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าสังคมไฮโซ

“ แล้วยังไงล่ะครับ แค่นี้เรายังรวยไม่พอหรอครับ ใช้เงินไม่ไหวแล้วนะคุณแม่ ”

ภรัณเป็นคนที่โอนอ่อนตามคำของผู้ใหญ่ บอกเลยว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวคุณหญิงชมพู ที่เขากล้าปฏิเสธ นักธุรกิจ ใหญ่ๆ ที่แม่นัดดูตัวเขาก็ล้มเลิกมาหมดแล้วถ้าไม่ถูกใจ

“ โถ่ ~ ทำไมรัณถึงไม่เข้าใจแม่นะ ! แม่อยากอุ้มหลานจะตายอยู่แล้ว การที่มีเด็กตัวเล็กตัวน้อยมาวิ่งซุกซนในบ้านมันเป็นอะไรที่ กระชุ่มกระชวยหัวใจมากเลยนะลูก"

ผู้เป็นแม่พูดไปก็ใช้มือไม้ จินตนาการว่าได้อุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน ภรัณเห็นแล้วถึงกับส่ายหัวก่อนยะระบายยิ้มออกมาเพราะนึกไม่ถึงว่าแม่จะเป็นหนักขนาดนี้

“ นี่คือความต้องการของคุณแม่ถูกไหมครับ ”

ชายหนุ่มหยุดเดินก่อนจะหันมาถามย้ำกับผู้เป็นแม่

“ ใช่ และที่สำคัญแกไม่ใช่อายุ20ต้นๆ 33แล้วนะภรัณยังไม่มีครอบครัวจนเพื่อนลูกแต่ละคนแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว..เมื่อไหร่จะหยุดเที่ยวหื้ม?”

“ แม่ก็รู้ว่าผม ไม่ได้ชอบผู้หญิง ล้มเลิกความคิดที่จะจับผมคู่กับใครเถอะ ”

“ รัณ ..ไม่ใช่แม่ไม่รู้แต่หน้าตาทางสังคมล่ะคนจะมองลูกยังไง ”

ศรัญญา พูดแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงภาพลักษณ์หน้าที่การงานของลูกชาย ไม่อยากให้ใครตีหน้าว่าเป็นพวกผิดเพศ ถึงจะมีคนออกมารณรงค์เรื่องLGBTQ แล้วก็เถอะยังไงก็ไม่พ้นคำนินทาอยู่ดี

“ ช่างหัวสังคมสิครับแม่ มันกินอิ่มที่ไหน ”

“ รัณ อื้อ!! ”

“ หรือแม่เห็นสังคมดีกว่าความสุขของลูกชายตัวเอง ?ครับ ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างชั่งใจ ก่อนจะพูดขอเสนอในสิ่งที่แม่ต้องการมากที่สุดออกไป

“ ต้องการแค่หลานถูกไหมครับ "

ภรัณโน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้างหูมารดาก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ ( พยักหน้า )** อือ ฮึ ใช่แล้ว “

“ หึ รอก่อนอีกไม่นานหรอกครับผมจะทำให้แม่ได้เลี้ยงหลานเอง ”

“ แกอย่ามาหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ ”

เธอชี้หน้าว่าลูกชายอย่างคาดโทษ

“ ยกเลิกนัดทานข้าวกับคุณหญิงชมพูได้เลยครับวันนี้ผมไม่เข้าบ้าน ”

หันมาทำหน้าตายียวนให้ผู้เป็นแม่เสร็จก็หลังหันเดินออกไปทันที

“ นี่เดี๋ยวสิ! ”

“ อ่าวคุณลูกไปไหน ”

คุณ พีระ ที่พึ่งเดินลงมาจากบรรไดก็ทำหน้างงตนมัวอาบน้ำแต่งตัวอยู่บนห้องลงมาก็ไม่ทันลูกชายซะแล้ว

“ มีอะไร ? ชักช้าลีลาลูกออกไปแล้ว ”

ศรัญญาเอ่ยถามสามีด้วยคำพูดที่ไม่มีหางเสียง อาจเป็นเพราะว่าทั้งคู่แต่งงานอยู่กินกันมานานเลยไม่ค่อยถือเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก

“ เอ่อ ผมว่าจะติดรถลูกเข้าโรงงานหน่อยวันนี้จะเข้าไปดูเขาผลิตลาย Jewelry  ใหม่ด้วย ”

ผู้เป็นพ่อพูดไปก็ จัดเซ็ตทรงผมไป สนใจอายุมากแค่ไหนก็ยังติดนิสัยหล่ออยู่ดี

“ หยุดใส่เยลสักทีได้ไหมฉันเหม็นจะตายอยู่แล้ว ”

คุณหญิงพูดทั้งเอามือขึ้นมาปิดจมูก

“ ทำไมคุณแพ้ท้องน้องตารัณหรือไง ”

“ หื้ม!! ไปให้พ้นเลยนะก่อนที่จะมีน้ำโห ”

สองพ่อลูกนี่ขี้เล่นเหมือนกันไม่มีผิด แบบนี้สินะเขาถึงเรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว

- บนรถ -

ภรัณขึ้นมานั่งบนรถตู้ฮุนไดสีดำ ก่อนจะเคาะเบาะเป็นสัญญาณให้คนขับเดินหน้าต่อไปได้

“ คุณรัณวันนี้ไปไหนดีครับ ”

“ อืม...เช้านี้ไปร้านก่อนก็ได้วันนี้เห็นว่า ที่โรงงานออกลาย Jewelry ใหม่ด้วยช่วงบ่ายคงส่งถึงที่ร้านจะไปตรวจสักหน่อย ”

ภรัณพูดนิ้วมือหนาก็เลื่อนไอแพดไป และก็ไปสะดุดเข้ากับโพสต์นึง

“ เอ่อ..เมื่อครู่คุณบัคโทรมาเชิญคุณรัณให้ไปทานอาหารประเดิมร้านใหม่หน่อยน่ะครับ ”

“ .... ”

ร่างหนาคิ้วขมวดชิดติดกันทันทีเมื่ออ่านจบ เด็กน้อยของเขาเป็นอะไรกันนะ

“ เป็นอะไร...อยากตายทำไมหืม~ ”

“ เอ่อ..คุณรัณครับ ”

เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ตอบพี่คนขับจึงตัดสินใจถามอีกครั้ง พร้อมกับชำเรืองสายตามองไปที่กระจกรถ

“ .... ”

“ เอ่อ..คุณบัคบอก?? ว่าให้ "

“ ช่างหัวไอ้บัคมันก่อน! เถอะ ”

พี่คนขับรีบกลืนคำพูดลงคอแทบไม่ทัน เมื่อครู่ ภรันยังเดินขึ้นรถมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เลยไหนตอนนี้กลายเป็นหน้าเครียดไปได้ล่ะ ไม่เข้าใจ เลยจริง ๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป