บทที่ 1 บทที่ 1

เมื่อเรือลาดตระเวนของเหล่านาวิกโยธินแห่งราชนาวีไทยจอดเทียบท่า เหล่าทหารกล้าสวมเครื่องแบบทหารเรือเต็มยศสะพายเป้ก็เดินเรียงแถวออกมาจากท้องเรือ นำหน้าด้วยนายทหารที่มียศน้อยเรียงไปจนถึงผู้บังคับการจนถึงกัปตันเรือ หนึ่งในนั้นมีร่างสูงตระหง่านของน.ท.นักรบ ผดุงกิตติศักดิ์ ร.น. หรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกขานว่า‘ผู้พันรบ’ในชุดลายพรางติดเครื่องหมายแผ่นผ้าไว้บนหน้าอกด้านขวา มีรูปท้องทะเล ท้องฟ้า ภูเขาและหน้าผา ระหว่างสมอสองอันที่พันกันด้วยเชือก มีความหมายว่า ภายใต้ความสามัคคีกลมเกลียวของกองทัพเรือ จะเป็นรั้วที่เข้มแข็งเพื่อคุ้มครองป้องกันภัยที่จะมาคุกคามต่อน่านน้ำ น่านฟ้าและชายฝั่งทะเลของไทย ตรงกลางมีครุฑเหยียบโลกที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ประเทศไทย มีสมอเสียบปักอยู่ หมายถึงการเป็นทหารนาวิกโยธินที่ขึ้นตรงต่อกองทัพเรือและปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมและสนับสนุนจากกองทัพเรือ

ร่างสูงเดินสะพายเป้คล้องไหล่ออกมาจากเรือลาดตระเวนของหน่วยรีคอน หรือหน่วยลาดตระเวนสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกและจู่โจม มีชื่อเต็มๆ ว่า Amphibious Reconnaissance and Raid เมื่อเหล่าทหารต่างพากันเดินเรียงแถวตอนลึกออกมาแล้วแทนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านหลังจากที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมานานแรมปี พวกเขาก็พากันไปหยุดยืนเรียงแถวหน้ากระดานราวกับตอนที่อยู่บนเรือ และเมื่อร่างของผู้พันรบเดินเข้าไปใกล้ เสียงกล่าวคำปฏิญาณก็ดังกึกก้องและกล่าวออกมาได้อย่างพร้อมเพรียงกัน จนผู้บังคับกองพันอย่างนักรบต้องยืนนิ่ง ยืดอกแล้วกล่าวไปพร้อมๆ กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักชาติ

แม้จะถูกต้านทานอย่างหนัก จากศัตรูที่โหดเหี้ยม

ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ จะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม

ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่

เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่า ภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด...แม้ชีวิต

ตามมาด้วยการทำความเคารพผู้บังคับบัญชาและเสียงตบเท้าที่ดังตามมา นักรบตีหน้าขรึมทั้งที่อยากยิ้มอย่างนึกดีใจที่ประเทศชาติได้มีรั้วที่จงรักภักดีมอบกายถวายใจให้อย่างหมดสิ้น ดังคำปฏิญาณที่พร้อมใจกันกล่าวแม้ในยามที่พักศึกยกพลขึ้นฝั่งเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมเยียนบุพการีและทุกคนที่รออยู่เบื้องหลัง คำปฏิญาณที่เป็นเหมือนคำสัตย์สาบานฝังรากลึกอยู่ในใจ จนอยากจะกล่าวออกไปทั้งสามเวลา คนได้ยินก็ใจชื้นและนึกนิยมชมชอบทหารรักชาติกองนี้

“รีคอน นักรบเลือดเหล็ก กลับบ้านกันครั้งนี้ก็จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวเหลวไหล ให้เสียชื่อเกียรติภูมิความเป็นทหารกล้า จนต้องอับอายขายหน้ากันทั้งกอง”

“ผู้พันครับ ผมจะไม่ทำตัวเหลวไหล แต่ผมจะไหลไปตามน้ำ” หนึ่งในนั้นตอบกลับมาหน้าแป้นแร้นจนเห็นฟันขาวตัดกับหน้าคล้ำๆ เกือบจะเป็นนิโกรเพราะกรำแดดกรำฝนมานาน

“น้ำเมาล่ะสิมึง ถ้ากูรู้ว่าพวกมึงคนใดคนหนึ่ง เมาจนขาดสติ ทำตัวให้เสียเกียรติความเป็นทหารกล้า ตีรันฟันแทงกับคนอื่น กลับกองเมื่อไหร่กูจะจับถ่วงน้ำ ล่อฉลามกันให้เข็ด”

“โธ่...ผู้พันล่ะก็ใจร้ายตลอดเลย” ยังมีเสียงโอดครวญดังออกมาให้ได้ยิน

“กูไม่ได้พูดเล่น!” นักรบกล่าวเสียงขรม “รึพวกมึงคนใดคนหนึ่งอยากลองดีก็เอา”

“ไม่ดีกว่าครับ ไปเถอะพวกเรา ไปซะก่อนจะถูกจับถ่วงน้ำ”

นักรบส่ายหน้ายิ้มๆ มองกลุ่มทหารที่พากันเดินจากไป เขาไม่ได้พูดเล่นหรือแค่คิดจะขู่ให้กลัวเกรง แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่เป็นได้เจอของจริงเมื่อนั้น และเขาก็เชื่อมั่นว่าไม่มีใครกล้าคิดลองดี เพราะรู้จักผู้บังคับกองพันเช่นเขาเป็นอย่างดี คนอย่างเขาพูดคำไหนเป็นคำนั้นไม่เคยพูดแค่จะข่มขู่

เขาเดินตามหลังเหล่าทหารกล้าแห่งหน่วยลาดตระเวนสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกและจู่โจมไปเรื่อยๆ เพราะตั้งใจว่าจะกลับบ้านด้วยการโดยสารรถทัวร์เหมือนดังเช่นทหารคนอื่นๆ แต่เท้ายาวๆ ในรองเท้าคอมแบ็ตก็ต้องชะงัก เมื่อมีรถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า

“ว่าไงไอ้เสือ”

เสี่ยยุทธนาเป็นบิดาของนักรบ พอทราบว่าบุตรชายได้พักราชการก็ดีใจจนออกนอกหน้าแล้วรีบบึ่งรถจากกรุงเทพฯ มารับในทันที

“คุณพ่อ! รู้ได้ยังไงว่าผมจะกลับบ้าน” นักรบตอบยียวนตามสไตล์ของเขา

“ฉันรู้แต่ว่า แกจะต้องไปกับฉันไอ้รบ” ฝ่ายคนเป็นพ่อก็ไม่คิดจะยอมแพ้ กว่าจะได้เจอหน้ากันก็นานเป็นปี จะให้ติดปีกบินเป็นนกนางแอ่นไปเกาะโน้นเกาะนี้ก็กระไรอยู่

นาวาโทหนุ่มหรือถ้าเปรียบเป็นยศนายทหารที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือพันโท ถึงกับอมยิ้มและรู้สึกว่ากำลังจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนก็คราวนี้ กลับไปนี่จะไปนอนหนุนตักมารดาให้หายคิดถึง

“ถ้าผมไม่กลับ มีหวังคุณนายนภาพรคงตามไปดึงหูยานแน่ๆ ใช่ไหมครับ” ร่างสูงกล่าวแล้วเปิดประตูรถพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างบิดา แล้วก้มลงกราบบนบ่าหนาๆ ของท่าน “คุณพ่อสบายดีนะครับ”

“เออ...พ่อกับแม่สบายดี” เสี่ยยุทธนาจับต้นแขนลูกชายก่อนจะลูบไปมา “แกล่ะ สบายดีสินะ”

“ครับ ผมไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วยที่ตรงไหน”

“แต่เดี๋ยวแกอาจจะปวดหัวเพราะแม่แกก็ได้ เตรียมตัวไว้เถอะ”


“ตารบ!!! ตารบของแม่ กลับมาแล้วเหรอลูก!!” คุณนภาพรหรือคุณนายนภาพร มารดาของนักรบรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่เกรงว่าจะสะดุดอะไรล้ม ทรวดทรงองค์เอวที่เปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้นทำให้เวลาวิ่งเนื้อกระเพื่อมไหวเลยทีเดียว

นายทหารเรือหนุ่มยิ้มกว้างย่อตัวลงพับเพียบกับพื้นแล้วกราบลงที่เท้าของมารดา คุณนายนภาพรก้มลงไปลูบศีรษะแล้วดึงตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดแสนรักขึ้นยืน

“ฮือๆ ลูกแม่สบายดีใช่มั้ยลูก ฮือๆ” ทุกครั้งที่เห็นหน้านักรบ มารดาก็เป็นต้องน้ำตาไหลได้ทุกครั้ง

“นี่คุณ ป่านนี้แล้วยังร้องไห้ทุกครั้งที่ลูกกลับมาอีกเรอะ” คนเป็นสามีกระเซ้า

บทถัดไป