บทที่ 1 บทนำ ภาค ปฐมบทแห่งการเริ่มต้น

ในบรรพกาลมีภูเขาเทียนเหมินชาน ซึ่งอยู่เขตแดนมนุษย์และมีปลายยอดเขาแหลมเทียมฟ้า ความงดงามเหนือดินแดนมนุษย์ทั้งปวง ณ ที่แห่งนี้มนุษย์เดินดินธรรมดามิอาจมาเหยียบย่ำได้ เนื่องจากความสูงและตำนานเล่าขานที่น่าหวาดหวั่น ต้นหงส์เพลิงออกดอกใบสีแดงอมส้มสว่างไสวงดงาม ใต้ต้นหงส์เพลิงมีชายหนุ่มรูปงาม

ร่างสูงโปร่งที่มีรัศมีสีทองเปล่งประกายงดงามจนยากจะถอนสายตานั่งบรรเลงกู่เจิงสีทองอร่ามเข้ากับรัศมี ด้วยเพลงสวรรค์เสียงใสกังวานดังทั่วทั้งหุบเขา

ห่างออกไปมีปีศาจงูดินที่อายุได้ห้าร้อยปี ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนั้นแปลงกายเป็นมนุษย์มานั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนเฉกเช่นทุกครั้งนานนับสิบปี

“ยอดเยี่ยมมากหลิ่งเหวิน ข้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงของเจ้า”

เมื่อเสียงเพลงจบลงปีศาจงูดินนามว่าเฟยหลงกล่าวชมด้วยรอยยิ้มของความสุข ‘หลิ่งเหวิน’ หรือ ‘เทพหลิ่งเหวิน’ เงยหน้าจากกู่เจิงสวรรค์สบตากับสหายแล้วบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้ายินดีที่เจ้าชอบ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยตอบดวงตาพราวสดใส

หลิ่งเหวินเป็นเทพที่เจ้าแม่หนี่วาสร้างขึ้นจากปิ่นปักเกษาทำให้มีกายทิพย์และเป็นเทพองค์หนึ่งในแดนสวรรค์ ด้วยความเมตตาจากเจ้าแม่หนี่วาจึงมอบพลังและความสามารถรอบรู้ให้เศษ2ส่วน10ของพลังพระองค์

หลิ่งเหวินจึงเหมือนลูกรักที่เจ้าแม่หนี่ว่ารักใคร่จึงปล่อยให้ทำตามใจตัวเอง และหลิ่งเหวินก็ไม่เคยทำให้พระองค์ร้อนใจเลยสักครั้ง

“ข้ามิรู้จะตอบแทนน้ำใจเจ้าอย่างไรดี เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเมื่อใดที่ข้าบำเพ็ญเพียรกลายเป็นมังกรฟ้า เมื่อนั้นข้าจะพาเจ้าท่องเที่ยวทั้งแดนมนุษย์และสวรรค์”

เฟยหลงบอกสหายด้วยสายตาแน่วแน่ หวังจะตอบแทนเสียงเพลงสวรรค์ที่ทำให้หัวใจสงบและมีความสุข

หลิ่งเหวินยิ้มขำกับคำกล่าวของสหาย ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมมองสหายอย่างให้กำลังใจ

“บำเพ็ญเพียรอีก500 ปีเจ้าจะหลุดพ้นจากงูดินเป็นมังกรดำ อีก1500 ปีเจ้าจะเป็นมังกรฟ้า ข้าจะรอจนถึงเวลานั้น อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อนล่ะ”

เมื่อกล่าวจบนิ้วเรียวสวยจึงเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้ง...

กาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานจนถึง 500 ปีที่ปีศาจงูดำกลายเป็นมังกรดำ หลิ่งเหวินได้อิสระในการท่องโลกกว้างในแดนมนุษย์ และในทุกๆ วันจะกลับมานั่งบรรเลงเพลงใต้ต้นหงส์เพลิงจวบจนมีบัญชาจากสวรรค์ให้กลับไปรับใช้สวรรค์หรือช่วยงานเจ้าแม่หนี่วา

“ไยวันนี้เพลงถึงได้เศร้านัก”  เฟยหลงกล่าวถามด้วยดวงตาเศร้าหมองเฉกเช่นเพลงพิณที่บรรเลง

“มีพบก็ย่อมมีจาก ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องกลับสวรรค์ เพลงนี้เป็นเพลงอำลาครั้งสุดท้ายที่ข้าจะสามารถเล่นให้เจ้าฟังได้”

คำกล่าวของสหายที่เป็นเทพแต่อยู่ที่เขาเทียนเหมินชานนานถึง500ปี จนเฟยหลงคิดว่าชาตินี้คงไม่ต้องแยกจากสหายอีกแล้ว ความเงียบงันก่อเกิดเมื่อความจริงที่โหดร้ายทำให้หัวใจเฟยหลงสับสน มันเฝ้าบำเพ็ญเพียรเพื่อหวังจะได้เท่าเทียมกับสหาย แต่มาบัดนี้เหมือนความฝันแหลกสลาย

“หากมีวาสนาเราจักได้พบกันอีกเฟยหลง ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าสหายที่ดีของข้า”

หลิ่งเหวินบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้มทำลายความเงียบ ดวงตาคมมองสหายด้วยความนิ่งเฉย แม้จะดูนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่หลิ่งเหวินรู้ดีว่าตัวเองเศร้าหมองมิต่างกับสหายเลย

“สักวันข้าจะไปหาเจ้าให้จงได้!” หลิ่งเหวินยิ้มรับแต่มิกล่าวอะไร เพียงบรรเลงเพลงอำลาให้สหายฟังอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย

“หากมีวาสนา เราจักได้พบกันอีก”

เมื่อเพลงจบลงหลิ่งเหวินจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมด้วยรอยยิ้มให้สหายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับสู่สวรรค์ ปล่อยให้สหายมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา...

กาลเวลาผ่านพ้นมาอีก 500 ปีที่เหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของหลิ่งเหวิน เมื่อมังกรดำออกอาละวาดในแดนสวรรค์ ทำร้ายเหล่าเทพไปหลายพันองค์

หลิ่งเหวินได้รับบัญชาให้ไปกำจัดมังกรดำที่อาละวาดแดนสวรรค์ สร้างความเดือดร้อนใหญ่หลวง

แต่ขณะนั้นหลิ่งเหวินกลับจำได้ว่าเป็นสหาย จึงทำผิดกฎสวรรค์ปล่อยมังกรดำไป ทว่าความร้ายแรงไม่ได้หยุดแค่นี้เมื่อมังกรดำได้ทำลายเสาสวรรค์จนเป็นเหตุให้โลกมนุษย์เกือบล่มสลาย

ยังดีที่เจ้าแม่หนี่วามาช่วยอุดรูรั่วของเขตแดนสวรรค์ไว้ได้ แต่คนผิดต้องรับผิด หลิ่งเหวินจึงถูกลงทัณฑ์

“หลิ่งเหวินแม้ครั้งนี้จะเป็นความผิดครั้งแรกของเจ้า แต่กลับทำผิดใหญ่หลวงนัก ข้ามิอาจช่วยเจ้าได้จริงๆ ด้วยความรักที่ข้ามีต่อเจ้าข้าจะทำลายร่างทิพย์ของเจ้าและส่งดวงจิตไปยังโลกมนุษย์ จงทำความดีชดใช้กรรมที่เจ้าก่อ ข้าหวังว่าความกรุณาของข้าจะทำให้ดวงจิตของเจ้ากลับคืนสู่สรวงสรรค์อีกครั้งในสักวัน”

หลิ่งเหวินนั่งเงียบเงยหน้าสบตาพระมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้มหน้ารอรับการลงทัณฑ์  เพียงแค่เจ้าแม่หนี่วาสะบัดมือร่างที่งดงามที่ถูกสร้างสรรค์กลับแตกสลาย ดวงจิตถูกส่งไปยังโลกมนุษย์ เพื่อชดใช้กรรม

ตุบ!

โอ้ย!

เสียงร้องเบาๆ พร้อมร่างสูงโปร่งที่ตกจากเตียงพยายามปีนกลับขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมสะบัดศีรษะไปมาไล่ความมึนงง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตกเตียงแต่เป็นทุกครั้งที่เขาฝันถึงเรื่องนี้

“เฮ้อ! สงสัยจะอ่านนิยายจีนกำลังภายในมากเกินไป”

ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองนาฬิกาก็เพิ่งจะตีสาม จะนอนต่อก็นอนไม่หลับเพราะความฝันมันตามหลอกหลอน จึงลุกออกไปสูดอากาศนอกระเบียงห้องนอน ผมชื่อ เอกบดินทร์ วัฒนโสภา ที่เป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์

พ่อเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆของไทย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบประวัติศาสตร์จีนและนิยายจีนแนวกำลังภายในมากมายถึงเพียงนี้

อาจเป็นเพราะผมฝันถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่ 10 ขวบทำให้ผมพยายามหลอกตัวเองว่ามันต้องมีอยู่ในนิยายสักเรื่องแต่ผมอ่านมาเป็น15 ปีแล้วนับแต่วันนั้น แต่ก็ยังหาเรื่องที่เกี่ยวกับความฝันผมไม่ได้เลย

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าหวังจะให้มีดวงดาวระยิบระยับ แล้วต้องถอนหายใจทำไมนะเหรอ?  เพราะนี่มันกรุงเทพฯ ไง มีแต่แสงไฟจะหาดาวสักดวงเจอไหม

ผมถอนใจอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี  ใจมันหวิวๆ แปลกๆ บอกไม่ถูก ความเงียบยามค่ำคืนทำให้ผมอดคิดถึงความฝันอีกครั้งไม่ได้

แม้จะต่างยุคต่างสมัย แต่คนที่ดีดกู่เจิงอยู่บนยอดเขาประหลาดที่งดงามนั้นมันเหมือนผมเลย ต่างกันแค่ทรงผมที่ดูทันสมัยในสมัยนี้เท่านั้น

“ช่างเถอะอะไรจะเกิดก็ช่างมัน”

ผมบอกตัวเองก่อนจะหันหลังกลับไปซุกตัวนอนบนเตียงนุ่มอีกครั้ง หวังว่าพรุ่งนี้ครบอายุ25 ปีของผมจะมีอะไรดีๆ ในชีวิตนะ

บทถัดไป