บทที่ 3 3
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องเบาๆของคนข้างนอก เรียกสติให้หญิงสาวกลับมา หลังจากตกใจกับความคิดของตัวเองไปพักหนึ่ง เธอหันไปมองประตูบานใหญ่ที่ขยับเปิดออกช้าๆ
ร่างของหญิงสาววัยกำดัดเดินถือถาดอาหารเข้ามาพร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“คุณภูให้หนูเอาของว่างมาให้ทานค่ะ คุณคงจะหิวแล้ว ทานก่อนสิคะ” อำภาเดินถือถาดไปวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียง กลิ่นของอาหารที่อยู่ในนั้นมีกลิ่นหอม ยั่วให้ท้องที่แบนเรียบของหญิงสาวร้องโครกคราก
“ กำลังหิวพอดีเลย” เอมวิกาส่งยิ้มให้สาวน้อยแทนคำขอบใจ
“ คุณทานก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูขึ้นมาเก็บทีหลัง”
“ จ้ะ ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันจะได้เรียกให้ถูก”
มือบางหยิบแซนวิชไก่ที่อยู่บนจานมาดมขณะที่ถาม คนยกมาเสิร์ฟมองตาค้าง
“ เอ่อ หนูชื่ออำภาค่ะ”
“ อ้อ ชื่ออำภาเหรอ” มือบางวางแซนวิชไก่ลงบนจาน จากนั้นจึงหยิบอีกชิ้นขึ้นมาดม ก่อนจะวางไว้ที่เดิมแล้วหันไปยิ้มหวานให้อำภาที่ยืนมองเธอตาโต
“ ทำไมมองฉันอย่างนั้นละอำภา”
“ เอ่อ หนูเห็นคุณดม”
เสียงตะกุกตะกักของอำภาเรียกรอยยิ้มของหญิงสาวให้เปิดกว้างเข้าไปอีก
“ สงสัยละสิ ทำไมฉันต้องดม”
“เอ่อ ค่ะ” อำภารับคำเสียงอ่อย เธอกลัวว่าคำพูดของเธอจะไม่ถูกใจคู่หมั้นของคุณภูตะวัน เพราะใครๆก็รู้ดีกันทั้งไร่แสงตะวันว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ชอบเจ้านายของเธอ ถึงขนาดจะขอถอนหมั้นไม่ยอมแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดหาให้
“ กลัวฉันเหรออำภา” เธอถามอำภาอย่างคนอารมณ์ดี การจะผูกมิตรกับใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเอมวิกา
“ หนูกลัวคุณไม่พอใจที่หนูเอ่อ”
มือบางยกขึ้นโบกไปมา
“ อย่ากลัวไปเลยอำภา ฉันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆเขาคิดหรือพูดถึงฉันให้เธอฟังหรอก” หญิงสาวยักไหล่ด้วยท่าทียโสนิดๆ
“ การที่ฉันยกของที่อำภาเอามาให้กินขึ้นดม ก็ไม่ใช่เพราะฉันรังเกียจหรืออะไร แต่ที่ยกมาดมเพราะฉันติดนิสัย ชอบกินกลิ่นก่อนกินรสชาติจ้ะ”
คำอธิบายยืดยาวของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มให้กับอำภา
“ เหรอคะ ถ้างั้นเชิญคุณเอมวิกาดมก่อนทานเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูไปยกกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้ คุณจะได้อาบน้ำ”
“ ดีจ้ะ ไปยกมาเถอะ แต่มันหนักหาคนช่วยยกสักหน่อยก็ดีนะ จะได้ไม่หนักเกินไป”
“ค่ะ” อำภารับคำก่อนจะเดินเป็นวิ่งออกจากห้องสาวสวยอย่างรวดเร็ว ใครว่าคุณเอมวิกาขี้วีนเจ้าอารมณ์ ไม่เห็นจะเป็นจริงเลย เธอออกจะใจดี ยิ้มหวานตลอดเวลา แบบนี้ต้องกระจายข่าวให้คนอื่นรับรู้เสียแล้วว่าคู่หมั้นคุณภูตะวันใจดี ใครๆจะได้ไม่กลัวเธอ
พอลับร่างของอำภา หญิงสาวก็หัวเราะออกมาเบาๆอย่างมีความสุข ทำไมคนฉลาดสุดสวยอย่างเธอจะไม่รู้ เด็กรับใช้อย่างอำภากลัวเธอ และแน่นอนเพราะคงไม่ใช่แค่อำภา แต่เป็นคนงานทั้งไร่นี่กระมัง ที่มองเธอในแง่ร้าย และเธอก็เชื่อว่าต้นเหตุของความกลัวคงมาจากผู้ชายร่างสูงที่ปล่อยข่าวออกไปแน่นอน
เขาคงเจ็บใจเธอไม่ใช่น้อย ที่เธอเขียนจดหมายมาขอยกเลิกการหมั้นหมายที่มีขึ้นเพราะเกิดจากผู้ใหญ่สองฝ่ายเห็นชอบ คนอย่างภูตะวัน เอมวิการู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร แม้จะได้พบหน้ากันแค่ไม่นาน หยิ่งยโส ถือตัวและอวดดี!!
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวอดที่จะยอมรับกับตัวเองไม่ได้ ผู้ชายคนนี้มีครบสูตรที่ผู้หญิงต้องการ หล่อ รวย เพียงพบเขาครั้งแรกหัวใจของเธอก็ต้นรัวเร็วจนแทบจะออกมาเต้นแร๊พอยู่นอกอก ผู้ชายอะไรหล่อกระชากใจขนาดนี้
เพียงคิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็สะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อเรียกสติกลับคืนมา เอมวิกาบอกตัวเองว่าเธอต้องไม่ลืมว่าเธอมาที่นี่เพื่ออะไร
หลังจากที่พาเอมวิกาไปส่งห้องแล้ว ภูตะวันก็เดินมายังห้องของคุณวรรณวลีผู้เป็นมารดา เคาะประตูเบาๆก่อนจะเปิดเข้าไปพบมารดาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงใหญ่ ที่ช่วงขาของเธอมีผ้าแพรผืนบางคลุมเอาไว้ พอเธอเงยหน้ามาพบลูกชายรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าหญิงสูงวัย
“ พบหนูเอมวิกาแล้วใช่ไหมภู” สายตาที่มองลูกชายเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ พบแล้วครับคุณแม่” ภูตะวันตอบเสียงเบา ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงมารดา มือหนาใหญ่เอื้อมมาบีบไปตามขาเรียวเล็กของผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน
“ พบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เห็นภูเล่าให้แม่ฟังบ้างเลย” มือบางของคุณวรรณวลียกมาลูบไล้ศีรษะบุตรชายอย่างสุดรัก
“ ก็คงเหมือนที่แม่รู้จักนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่ยอมมองหน้ามารดา
“ เหมือนยังไงล่ะภู เล่าสิแม่อยากฟัง ว่าแต่หนูเอม..เธอสวยไหม”
คำถามของคุณวรรณวลีทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปนาน หัวใจที่ยังคงเต้นแรงตั้งแต่เจอหน้าหญิงสาวมันยังแรงไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มความแรงและเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
“ สวยครับแม่” คำตอบของลูกชายเรียกรอยยิ้มจากมารดา
“ พอใจใช่ไหม”
“ ครับ พอใจ..แต่นิสัย”
ภูตะวันยังไม่ทันเอ่ยจบ มารดาก็ยกมือขึ้นมาปิดปากบุตรชาย
