บทที่ 7 7
ตรงหน้าคุณวรรณวลี ยกมือขึ้นกราบไปที่ตักของหญิงชราอย่างนอบน้อม
“ เอมกราบค่ะคุณป้า”
“ ไหว้พระเถอะลูก เป็นอย่างไรบ้างกับการเดินทาง”
“ เรียบร้อยดีค่ะคุณป้า ขอบคุณค่ะคุณป้าที่ถามถึง”
“ จ้ะ แล้วคุณพ่อของหนูสบายดีไหม”
“ สบายดีค่ะคุณป้า หากว่าไม่ติดงานสำคัญ คุณพ่อคงจะมาด้วย”
“ อ๋อจ้ะ โอกาสยังมี ใช่ไหมภู” คุณวรรณวลีเงยหน้าไปถามบุตรชายเป็นนัย
“ ครับ โอกาสหน้ายังมี” ชายหนุ่มตอบรับมารดาทื่อๆ เพราะเขารับมุขที่มารดาส่งมาให้ไม่ทันนั่นเอง
จะเพราะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่เพราะเขามัวแต่มองกิริยาของเอมวิกาที่เปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน เมื่อสักครู่ตอนอยู่ต่อหน้านับดาวเธอยังเป็นนางแมวยั่วสวาท พอห่างมาหน่อยเธอกลายร่างจากแมวเป็นเสือ แล้วยิ่งตอนนี้อยู่ต่อหน้ามารดาเขาเธอกลับกลายเป็นลูกแมวน้อยขี้อ้อน
“ ทำไมมองน้องอย่างนั้นละลูก” คุณวรรณวลีถามลูกชายอย่างขำๆ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
“ ลุกเถอะหนูเอมเลยเวลาอาหารมานานแล้วหนูคงจะหิว ทานข้าวกันเถอะ” หญิงสูงวัยเอื้อมมือไปแตะบ่าหญิงสาวที่เธอ หมายหมั้นว่าจะให้เป็นเจ้าสาวของลูกชาย
เอมวิกาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ที่ชายหนุ่มเลื่อนให้ คุณวรรณวลีทำสัญญาณมือให้เด็กที่ยืนคอยรับใช้ตักข้าวให้ ขณะที่กำลังลงมือรับประทานอาหารกันอยู่นั้น เสียงแปร๋นที่ทุกคนลืมสนิทว่ายังอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ดังขึ้น
“แหม ดีจังเลยนะคะ ทานข้าวกันไม่มีใครรอดาวเลยสักคน”
คุณวรรณวลีส่ายหน้ากับจานข้าวพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวเหยียด ส่วนหญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนแอบยิ้มอย่างนึกขัน มีเพียง ภูตะวันที่ยังคงทำหน้าเฉยเหมือนคนไม่มีความรู้สึกอะไร ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้นับดาวนั่ง
“ ทานข้าวครับน้องดาว”
นับดาวลงนั่งด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นอย่างน้อยภูตะวันก็ยังลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง แต่ความรู้สึกดีๆที่เธอว่าหาได้อยู่กับเธอนานไม่ เพราะพอเธอเงยหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามที่มีคู่หมั้นของภูตะวันนั่งอยู่ ความรู้สึกเกลียดชังก็พุ่งเข้ามาอย่างระงับไม่อยู่ ยิ่งเอมวิกาอาศัยที่ ทุกคนกำลังทานข้าวกันอยู่ แอบส่งสายตามาเย้ยหยัน และดูแคลนให้เธอเจ็บใจเล่นอีก ต่อมความเกลียดสูงปรี๊ดจนสุดระงับไว้ได้ ร่าง อวบอัดของนับดาวขยับตัวลุกขึ้นจนเก้าอี้ครูดกับพื้นเสียงดังลั่น
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ข้าวสวยเม็ดยังอุ่นร้อนก็ถูกสาดเข้าหน้าของเอมวิกาเต็มๆ เอมวิกาผงะอยากจะลุกขึ้นต่อกรกับผู้ที่มาราวีเธอ แต่เมื่อสมองอันชาญฉลาดบวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็วแล้วคิดว่าไม่คุ้ม เธอจึงแสร้งทำเป็นหน้าใสซื่อถามนับดาวอย่างอินโนเซ้นต์
“ นับดาวเธอทำไมทำแบบนี้ละคะ ข้าวหกเลอะเปื้อนเสื้อผ้าฉันหมดแล้ว โธ่ดูสิคุณป้าเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเอง”
เอมวิกาเอาชื่อคุณวรรณวลีมาอ้าง และแอบยิ้มอย่างสะใจเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ เพราะภูตะวันหันไปมองหน้านับดาวอย่างไม่พอใจ
“ดาวทำไมทำแบบนี้ ไม่เห็นหรือไงว่าคุณแม่พี่กำลังทานข้าวอยู่ แล้วแบบนี้จะทานกันยังไง”
“ ก็ดาวทนไม่ไหว นังเอมมันเยาะเย้ยดาว”
“ เอมวิกาเขาเยาะเย้ยอะไรเธอกันแม่ดาว ป้าก็เห็นเขานั่งทานข้าวเฉยๆ มีแต่เธอเท่านั้นที่อยู่ๆก็บ้าเอาข้าวในจานไปสาดใส่เขา”
“ แต่คุณป้าคะ”
“ เธอไม่ต้องพูดแล้วนับดาว พูดไปเธอก็ดีแต่ใส่ร้ายหนูเอมเขา ป้าเชื่อสายตาป้าเอง ภูตะวันจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยนะ ส่วนหนูเอมพาป้าไปพักที่ห้องที”
เอมวิกาลุกมายืนงงข้างตัวคุณวรรณวลี เธอเพิ่งสังเกตชัดๆตอนนี้เองว่าหญิงชรานั่งอยู่บนรถเข็นไม่ใช่เก้าอี้
“ รังเกียจไหมหนูเอมที่จะช่วยเข็นรถพาป้าออกไป”
“ ไม่ค่ะคุณป้า เพียงแต่เอมเพิ่งสังเกตว่าคุณป้านั่งรถ ไปค่ะเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”
เอมวิกาเข็นรถพาคุณวรรณวลีออกไป แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะหันไปทำหน้าเฉยๆให้นับดาวแต่ดวงตากลับมองอย่างเยาะเย้ยและถากถาง สมน้ำหน้าอยากเป็นศัตรูกับใครไม่อยาก แต่ดันมาอยากเป็นกับ เอมวิกา ต้องเจอแบบนี้
แม้จะไม่ได้เห็นว่านับดาวจะเจออะไรที่รุนแรงแต่การที่ถูก คุณวรรณวลีตำหนิก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก วันนี้เจอแค่นี้พอคันๆ หญิงสาวยิ้มกระหยิ่ม
ขณะที่กำลังเข็นรถออกไปจากห้องเอมวิกาแอบหันไปมองสบตาภูตะวันนิดหนึ่ง สายตาของเธอที่อ่อนเชื่อมบ่งบอกความเจ็บช้ำที่ถูกผู้หญิงอีกคนกระทำทารุณได้ส่งไปให้ชายหนุ่ม
เธอไม่รู้หรอกว่าสายตาของเธอที่ส่งไปจะให้ผลอย่างไรบ้าง แต่เธอเชื่อแน่ว่าน้ำหยดลงหินและหินมันจะต้องผุกร่อนสักวัน หัวใจที่ เย็นชาและแข็งแกร่งของภูตะวันต้องอ่อนลงให้เธอ และเมื่อนั้นเอมวิกา คนนี้จะเดินออกจากการเป็นคู่หมั้นของชายหนุ่มอย่างถาวร
พอลับร่างของผู้หญิงต่างวัยสองคน ภูตะวันจึงหันมามอง นับดาวตรงๆอย่างขัดเคืองใจ ใครๆก็รู้ว่าชายหนุ่มรักมารดามาก อะไรที่จะขัดใจมารดาเป็นไม่ทำ แต่การกระทำของนับดาวเมื่อสักครู่ทำให้คุณวรรณวลีที่ไม่ค่อยจะชอบนับดาวอยู่แล้วยิ่งเพิ่มความไม่ชอบไปใหญ่
