บทที่ 2 1.1

หลายนาทีต่อมา เด็กในบ้านรีบจัดเตรียมมื้อเช้าให้พร้อมเมื่อเห็นว่าคุณผู้ชายกำลังเดินลงมาจากชั้นสอง ศิลาแปลกใจถึงสองเรื่อง หนึ่งคือเขาไม่เห็นพ่อบ้านทองมาทำหน้าที่ปกติของตน แต่กลับเห็นนายเพิ่มมาแทน และสองกับข้าววันนี้หลากหลายเกินไปด้วย

“ขอบใจ วันนี้มีอะไรพิเศษหรือ ทำไมกับข้าวเยอะแบบนี้”

เจ้านายหนุ่มหันมาถามนายเพิ่มหลังฝ่ายนั้นเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งและส่งผ้าเช็ดปากให้ ดวงตาสีเข้มฉายแววแปลกใจ เพิ่มสั่นศีรษะน้อยๆ เหมือนจะสื่อสาร ยิ่งทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น

“คนของคุณไม่ได้เป็นคนเตรียมกับข้าวหรอกค่ะ แต่เป็นน้าเอง”

เสียงที่ไม่คุ้นหูดังมาจากฝั่งห้องครัว  ชายหนุ่มเจ้าหันไปดูต้นเสียง คนที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘น้า’ แต่จำไม่ได้แล้วว่าเคยมีญาติที่ไหน ทันทีที่เห็นเธอ แววตาสีดำขลับนั้นวาวโรจน์ เปล่งเสียงหัวเราะแผ่วๆ ที่เบาจนจับกระแสเสียงไม่ได้

“นึกว่าใคร...ที่แท้ก็คุณนลินีนี่เอง” ศิลาเอ่ยพลางหันไปพยักพเยิดให้คนอื่นๆ ออกไปก่อน และเพิ่งรู้ว่าเพราะเหตุนี้จึงไม่ได้เห็นพ่อบ้านทองอยู่ในห้องอาหารด้วย

“บ้านพ่อเลี้ยงน่าอยู่เหมือนกันนะคะ” นลินีเอ่ยชม

“ทำไมหรือครับ มันเปลี่ยนไปมากจนคุณจำไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มวางหน้าเฉยและเอ่ยคล้ายประชดประชัน

นลินีเลิกคิ้วไม่เข้าใจ ศิลาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอย่างใจเย็น

“ที่นี่เปลี่ยนไปมาก และผมก็ซื้อเพิ่มอีกนิดหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวแฝงนัย ซึ่งได้สะกิดหัวใจคนฟังจนหน้าร้อนผ่าว

...ทำไมเธอจะจำที่นี่ไม่ได้ แต่มันจะสำคัญอะไรเล่าในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แถมที่นี่ก็คงเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วไม่รู้กี่คน

“คุณต้องการจะพูดอะไร”

“ลงทุนถ่อจากกรุงเทพมาถึงนี่คงไม่ได้มาเพื่อทำอาหารมื้อเช้าให้ผมหรอกนะ” เขาไม่ชี้แจงให้เข้าใจแต่กลับเปลี่ยนเรื่อง ความหิวในเช้านี้หายไปตั้งแต่รู้ว่ากับข้าวทั้งหมดเป็นฝีมือใคร

“แหม... คุณนี่รู้ทันน้าไปซะทุกเรื่องเลยนะคะ” นลินีถือสนิทนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม ได้ยินเสียงหัวเราะเยือกเย็นดังมาจากคนตรงหน้า

“เท่าที่ผมจำได้พ่อแม่ผมเป็นลูกคนเดียวนะครับ”

ศิลาย้อนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาแสดงความไม่พอใจ หญิงวัยกลางคนหน้าเจื่อนนิดหนึ่งแต่ก็ปรับสีหน้าได้รวดเร็ว ชายหนุ่มจึงพูดต่อ

“มีธุระอะไรก็รีบพูดมา ผมไม่มีเวลานั่งฟังคุณพล่าม”

“ก็เรื่องเดิมนั่นแหละ”

“คุณไม่น่ารีบ”

“มันใกล้ถึงกำหนดแล้ว น้าไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน” น้ำเสียงของนลินีฟังดูคล้ายเธอกำลังกลุ้มใจ

“จะบอกว่าไม่มีอีกแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มถามเสียงกระด้าง แต่ยังวางหน้าเรียบเฉย

นลินีนิ่งไปแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำถามนั้น ศิลาสรุปได้ว่าที่นลินีมาคราวนี้ก็เพื่อขอผ่อนหนี้อีกตามเคย และจะยอมปล่อยไปง่ายๆ เหมือนครั้งก่อนไม่ได้อีกแล้ว

“อย่าร้อนใจไปเลย ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น ยังไงซะโฉนดบ้านของคุณก็อยู่ในมือผมจริงไหม” ศิลากล่าว ใบหน้าคมฉาบยิ้มน่ากลัว

นลินีได้ยินดังนั้นแล้วก็นึกกระหยิ่มใจ เขาคงจะใจดีอีกครั้งหลังจากเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งผ่อนผันให้เป็นครั้งที่สาม

“ขอบคุณพ่อเลี้ยงมากนะที่เข้าใจ วันนั้นถ้าไม่ได้พ่อเลี้ยงฉันคงถูกพวกมันตัดนิ้วไปแล้วแน่ๆ”

นลินีนึกไปถึงตอนที่เจ้าหนี้ตามล่าและขู่ว่าจะตัดนิ้วเพราะเบี้ยวเงินมาแล้วหลายครั้งจนศิลาไปพบเข้าเลยเจรจาใช้หนี้แทนให้ ...และวันนี้ก็ยังบอกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ช่างเป็นพ่อพระจริงๆ

แต่มันคงไม่ง่าย...เงินตั้งมากมายขนาดนั้น

ถ้าเป็นแต่หนี้สินคงไม่ทำให้เธอเดือดร้อนหรอก แต่กลัวว่ามันจะกระทบกับชื่อเสียงสามีมากกว่า ด้วยว่าฝ่ายนั้นเพิ่งพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปลายปี โชคดีที่เขายังไม่รู้ว่าเธอแอบมาเล่นการพนัน ไม่งั้นคงจะเกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต

“และบางทีผมอาจจะฉีกสัญญาทิ้งก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งพร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งเธอดูออกว่าเขาต้องการข้อแลกเปลี่ยน เรื่องมันคงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดอีกแล้ว

“คุณต้องการอะไร”

“ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าลูกสาวคุณสวยมาก” ศิลาแกล้งพูดลอยๆ สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่ริมฝีปากหยักยกยิ้มแฝงเลศนัย

“แล้วยังไง?” นลินีรู้ว่าเขาต้องการลูกสาวเธอมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่ยังไม่กล้าสรุป เธอจะยังคงคุมเชิงต่อไปและไม่โวยวายจนเสียเรื่อง รอให้เขาเฉลยออกมาเอง

“แล้วไงน่ะหรือ...?” ศิลายักไหล่แล้วหันมาจ้องตาเธอตอบ จงใจให้รู้ถึงความต้องการ

“ถ้าผมได้ผู้หญิงสาวๆ สวยๆ สักคนมาคอยปรนนิบัติคงจะดีไม่น้อย”

ว่าแล้ว...เขาต้องการลูกสาวเธอ ซึ่งเธอหวงยิ่งกว่าไข่ในหิน

“อะไรนะ?”

“ผมอยากได้ลูกคุณมาทำงานขัดดอก ไม่แน่ถ้าทำงานดีอาจจะเลื่อนขั้นให้เป็นนางบำเรอหมายเลขหนึ่งก็ได้”

คำเฉลยของเขาทำให้นลินีขึ้งโกรธ เธอมองสำรวจสารรูปอีกฝ่ายด้วยนึกขยะแขยง ชายหนุ่มมีรูปร่างกำยำ ใบหน้าคมเข้มเหมือนมีเชื้อแขกที่ดูคล้ามแดดนั้นก็มีเสน่ห์ไม่น้อย ทว่าหนวดเครากลับขึ้นรกครึ้มไม่น่ามอง ตัวสูงโคร่งราวยักษ์ปักหลั่น หากมองผ่านๆ ศิลาไม่ต่างอะไรกับมหาโจร มองใกล้ๆ ดูคล้ายกับจอมอสูรก็ไม่ปาน แล้วยังหมายจะได้นางฟ้าเช่นลูกสาวเธอมาเป็นนางบำเรอ

ฝันไปเถอะ!

“ฉันไม่มีทางจะยอมให้ลูกสาวฉันมาขายตัวเด็ดขาด” นลินียืนยันหนักแน่น “ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้เธอให้เร็วที่สุด”

“งั้นก็ได้” ศิลาทอดเสียงพร้อมกับยักไหล่ด้วยท่าทางที่ไม่ร้อนใจ นั่นทำให้นลินีเริ่มเห็นทางออกอยู่รำไรแล้ว ทว่า... “แต่คุณก็ต้องเตรียมคำแก้ตัวกับสามีคุณและนักข่าวไว้ให้ดีๆ นะ” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม พร้อมกับชูสมาร์ตโฟนขึ้นมา ซึ่งมันกำลังแสดงแอปพลิเคชั่นบันทึกเสียงอยู่ นลินีลมแทบจับเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกคนอื่นเล่นงานด้วยวิธีเจ็บแสบ

“ผมไม่ได้มีแค่เฉพาะคลิปเสียงอย่างเดียวนะครับ คลิปภาพเหตุการณ์ตอนที่คุณกำลังสนุกในวงไพ่ผมก็มี” ศิลากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ รู้สึกสาแก่ใจจนเกินจะบรรยาย

“แก!!! ไอ้เด็กเลว”

“ผมให้เวลาคุณสองชั่วโมง หาเงินมาคืนผมรวมดอกเบี้ยด้วยก็ต้องคูณสอง ดูซิคุณจะเก่งเหมือนที่พูดหรือเปล่า” ศิลาพูดกลั้วหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ เขาไม่สนว่าเธอจะอายุมากกว่ากี่ปี เพราะตอนนี้ฐานะเธอคือ ‘ลูกหนี้’

นลินีรู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่หล่นลงมาปิดทางออกเสียหมด เงินไม่ได้มากขนาดนั้นเธอจำได้ และก็คงไม่มีดอกเบี้ยที่ไหนจะแพงขนาดนี้ด้วย

“ฉันจะฟ้องคุณ ข้อหาคิดดอกเบี้ยเกินจริง” นลินีขู่ฝ่อ

ศิลามองกลับมาด้วยแววตาโกรธกรุ่นระคนกับความหมั่นไส้ เขาวางถ้วยกาแฟลงกับโต๊ะดังโผลก แล้วผุดลุกขึ้นเท้ามือสองข้างกับโต๊ะอาหาร

“คุณกำลังขู่ผมอยู่นะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ขัดกับสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน

“ฉันไม่ได้ขู่” นลินีตอบหน้ายิ้มแต่หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว

“เอาเล้ย!!!” ชายหนุ่มท้าทายเสียงดังลั่น หันมาสบตากวนให้อีกฝ่าย ก่อนจะยกมือถือขึ้นใหม่อีกครั้งพลางขู่ “ฟ้องไปก็เท่านั้น เพราะถ้าคุณไม่ยอมใช้หนี้ ผมจะไปยึดบ้านคุณเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วรู้ไหมว่าคุณมธุลิน บรรณาธิการสำนักข่าวที่ดังๆ ในตอนนี้เธอเป็นเพื่อนรุ่นน้องผมเอง...ยกหูกริ๊งเดียว คุณดังเป็นพลุแตกแน่ มีทั้งรูปถ่ายมีทั้งคลิป และมันอาจกระทบกับธุรกิจครอบครัวคุณด้วยน้า...”

ศิลาทำหน้าตากวนประสาทเข้าใส่ เขารู้ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็จะกระทบกับชื่อเสียงหลายด้านของครอบครัวรัตนโภคิน ซึ่งเขาค่อนข้างกว้างขวางทั้งในวงการมืดและวงการสุจริต ต้องขอบคุณความโหดร้ายของโชคชะตาที่ทำให้เขาเดินมาจนถึงจุดนี้ได้

“นี่คุณ” นลินีกัดริมฝีปากแน่น

“คนอย่างพวกคุณนอกจากจะไม่เคยทำงานหนักแล้วยังหน้าบางซะด้วยสิ” ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตานลินี แม้มุมปากเขาจะโค้งขึ้นเหมือนยิ้มแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าพิสมัย ซ้ำร้ายแววตาคู่นั้นก็มองดูคล้ายกับปีศาจมากกว่า

“พ่อเลี้ยงศิลา”

“ผมจะรอดูหนังสือพิมพ์ฉบับพรุ่งนี้เช้าที่พาดหัวข่าวว่าคุณนายไฮโซฟ้องชาวไร่ข้อหาคิดดอกเบี้ยเกินจริงหลังจากหยิบยืมเงินไปใช้หนี้พนัน คงจะอายน่าดู ฮ่าๆๆ”

ศิลาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นฝ่ายนั้นหน้าซีดเผือด

“โถๆๆ น่าสงสารสามีคุณจังเลย คุณนายคนดังเล่นการพนันจนหมดตัวต้องเอาลูกสาวมาขัดดอก น่าสมเพช”

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกมันเลวจริงๆ” นลินีชี้หน้าเขาด้วยความเกรี้ยวกราด

ดูเหมือนว่าศิลาจะควบคุมอารมณ์ได้ดีทีเดียว เพราะนอกจากจะไม่ด่าตะเพิดแล้วเขายังทำหน้าตาสบายใจเหมือนได้รับคำชม

“ขอบคุณมากนะครับคุณนายนลินี คำชมจากคุณช่างเป็นอะไรที่ชื่นใจผมจริงๆ เลย เพื่อเป็นการตอบแทน ผมว่าเอางี้ดีกว่า...ผมจะให้เวลาสองชั่วโมงถ้าคุณไม่กลับมาพร้อมเงิน ผมจะถือว่าคุณยอมรับข้อตกลง หลังจากนั้นอีกสามวันผมจะต้องเห็นลูกสาวคุณที่นี่ แต่ถ้าไม่! ผมจะนัดสามีคุณ และนักข่าวมาแทน คงรู้ชะตากรรมตัวเองนะว่าจะเป็นยังไง จากนั้นผมจะทำให้พวกคุณกลายเป็นคนจรจัดไม่มีที่ซุกหัวนอน” ศิลาโยนไพ่ใบสุดท้ายที่ทำให้นลินีหมดทางออก ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่ใครๆ ต่างก็บอกว่ามีเสน่ห์ แต่เขาเพียงความดุร้ายและอำมหิตของสุนัขจนมุมตัวหนึ่งเท่านั้น

“ไอ้ศิลา!”

นลินีแทบกรี๊ด เงินขนาดนั้นเธอไม่มีทางหาให้ทันได้ภายในสองชั่วโมงหรอก เท่ากับว่าเธอจะต้องส่งลูกมาเป็นเครื่องบรรณาการให้กับนายเถื่อนคนนี้จริงๆ ใช่ไหม

“ไอ้เพิ่ม” ศิลาเรียกคนของตัวเอง ไม่คิดจะสนใจท่าทางเหมือนแมวดิ้นตายของอีกฝ่าย “ส่งแขกทีโว้ย...แล้ววันหลังถ้าเห็นผู้หญิงคนนี้มาอย่าเปิดประตูรับอีก กูรำคาญ” ชายหนุ่มประกาศโทงๆ

“ครับนาย” เพิ่มรับคำก่อนจะผายมือเชิญนลินีตามมารยาท

“ไม่ต้อง...ฉันไปเองได้”

นลินีปัดออกด้วยท่าทีรังเกียจ ก่อนจะเดินจ้ำออกไป รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนประสาทหลอน ขนาดเดินไปนอกบ้านแล้วยังได้ยินเสียงหัวเราะดังเต็มหู หรือความจริงแล้วเขากำลังหัวเราะเยาะเธออยู่ในบ้านกันแน่

“ผมว่าคงไม่ต้องแล้วล่ะครับเจ้านาย” เพิ่มยิ้มแห้งๆ ศิลากลับหัวเราะลั่นทำให้เพิ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ และน้ำลายในคอเริ่มเหนียวหนึบ

“เอาอาหารสกปรกพวกนี้ไปทิ้ง แล้วทำมาให้ฉันใหม่” ศิลาออกคำสั่งอีกครั้ง เพิ่มรีบเก็บอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะออกไป พร้อมกับที่ได้ยินเจ้านายบ่นพึมพำแล้วหัวเราะน่ากลัว “เกมมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว และสุดท้ายฉันก็จะเป็นผู้ชนะ ฮ่ะ ฮะ ฮะ ฮ่า”

แล้วก็เป็นไปตามที่ศิลาคาด เมื่อสองชั่วโมงผ่านไปไม่มีวี่แววว่านลินีจะกลับมา แสดงว่าเธอยอมรับข้อเสนอ สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือเตรียมรับมือกับลูกสาวแสนสวยของนลินีในอีกสามวันข้างหน้า

นลินีกลับมาจากเหนือก็กระวนกระวายกับข้อเสนอที่ศิลายื่นให้ พลอยให้คนใช้อีกกลุ่มนินทากันว่าไปก่อหนี้ก้อนโตไว้และหาเงินไปใช้คืนไม่ทัน ชื่นคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามกันมาสมัยเป็นผู้ดีตกยากก็รีบขึ้นมาถามด้วยความห่วงใย

“เป็นอะไรไปคะ เห็นคนรถพูดกันว่าคุณดูร้อนใจตั้งแต่อยู่ที่สนามบินแล้ว”

คนถูกถามมีแววตาคลั่งแค้น ความโมโหพลุ่งพล่านอยู่ในอก ก่อนจะบันดาลโทสะเหวี่ยงข้าวของในห้องจนตกกระจัดกระจาย แจกันดอกไม้กระทบผนังแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นมาเกือบโดนใบหน้าชื่น โชคดีที่เธอหลบได้ทัน ไม่เช่นนั้นมีหวังได้แผล

“นี่มันเกิดอะไรกันคะคุณ ทำไมถึงเป็นแบบนี้” คนสนิทรุดเข้ามาถาม นลินีกัดฟันกรอดๆ เมื่อนึกถึงผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้น

“ก็ไอ้พ่อเลี้ยงน่ะสิ” นลินีเค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความคลั่งแค้น

“คนที่คุณไปหาน่ะหรือคะ?”

“ใช่! มันขู่ว่าจะบอกความจริงกับท่านและจะยึดบ้านหลังนี้ถ้าฉันไม่เอาลูกไปขัดดอกแล้วยังท้าให้ไปแจ้งความอีก” นลินีกระแทกเสียง นึกเจ็บใจที่ตกเป็นเบี้ยล่าง

“ตายจริง” ชื่นอุทานเสียงหลง เธอเดาว่าผู้ชายคนนี้จะต้องดูละครหลังข่าวมากเกินไป หรือไม่ก็ติดละครเรื่องนางทาสอาการงอมแงม ถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้มาได้ “แต่ยังไงเราก็แจ้งตำรวจไม่ได้นะคะคุณ เพราะถ้าตำรวจรู้ก็เท่ากับว่านักข่าวรู้ และคุณท่านกับคนทั้งประเทศก็จะต้องรู้”

“ก็นั่นแหละ ฉันเลยต้องมานั่งกลุ้มอยู่ตอนนี้ไง แต่บอกไว้เลยว่าจะไม่ยอมยกลูกให้มันแน่”

คนทั้งสองเดินพล่านห้องเป็นเวลาร่วมชั่วโมง เพื่อคิดหาทางออกที่ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องส่งลูกสาวใช้หนี้ จนกระทั่งมาตกใจสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงชื่นดีดนิ้วดังเปาะ! หลังจากที่ห้องเงียบไปนานเกือบชั่วโมง

“เราลืมอะไรไปหรือเปล่าคะคุณ” ชื่นโพล่งออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัย นลินีฉุกคิด...

“อะไรล่ะ” คนถามคิ้วผูกเป็นปม

คนสนิทเข้ามากระซิบบอกแผนการที่ข้างหู คนฟังพอใจกับความคิดเธอมาก นลินีมองมาที่คนสนิทอย่างภาคภูมิใจในความหลักแหลม ไม่เสียแรงที่เธอไว้วางใจ

“งั้นเราก็หมดห่วงเรื่องคุณหนูได้แล้วนะคะ...เรามาคิดกันดีกว่าว่าเราจะทำยังไงกับไพ่ใบสุดท้ายใบนี้กันดี” ชื่นยิ้มมีเลศนัย

ชื่นเป็นเหมือนแขนขาให้นลินี เพราะไม่ว่านลินีจะทำอะไร ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาลงมือเอง ขอเพียงมีชื่นคนนี้คอยจัดการให้ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเอง

ตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้วตอนที่ศิลาจอดจักรยานคู่ใจที่หน้าบ้านแล้วเดินเข้ามาข้างในด้วยท่าทางอิดโรย การเตรียมเสาสำหรับทำค้างองุ่นท้ายไร่ที่เพิ่งปลูกเมื่อปลายปีที่แล้วทำให้เขาอยากอาบน้ำแล้วเข้านอนเลยทว่าความจำเป็นก็ทำให้สองเท้าก้าวเข้ามาอยู่ในห้องทำงานที่ชั้นล่าง

“ทองมาพบฉันหน่อย” มือหนากดปุ่มโทรศัพท์สายตรงไปยังพ่อบ้านคนสนิท ไม่นานฝ่ายนั้นก็เข้ามารายงานตัว

“นายมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”

“ฉันจะถามเรื่องที่โรงพยาบาล หมอนนท์ว่ายังไงบ้าง”

“จะมีหมอมาจากสิงคโปร์ในอีกสองวันครับ” นายทองรายงานเสียงเศร้า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป