บทที่ 4 3

6

วันที่สาย

รถซีดานของพิยดาขับชนแท่งแบร์ริเออร์ พลิกคว่ำหลายตลบจนหงายท้อง แรงเหวี่ยงทำให้ลำตัวส่วนบนโผล่ออกนอกตัวรถ แต่ขาติดกับคอนโซล แรงกระแทกทำให้ตัวรถยุบลงมาทับกลางร่าง แรกเริ่มหล่อนคิดว่าตัวเองจะรอด แต่แพทย์กลับประเมินว่าไม่สามารถพาหล่อนออกไปได้ พร้อมความจริงที่เป็นพิษร้ายพ่นเข้ามาในใจ

กระดูกสันหลังของหล่อนถูกตัดขาด นี่คือสาเหตุที่หล่อนไม่รู้สึกเจ็บ หล่อนเสียเลือดมากแต่เส้นเลือดใหญ่ตรงช่องท้องถูกของหนักทับไว้ เท่ากับว่าถ้ายกมันออกไปหล่อนจะเลือดออกจนตาย แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยหล่อนก็จะตายช้า ๆ ด้วยไร้หนทางจะซ่อมแซมเส้นเลือดนั้น

ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเร็วปานนี้...

พิยดาต่อว่าทีมแพทย์ยกใหญ่ว่าพวกเขาคิดผิด ทั้งโกรธรถบ้าพวกนั้นที่ทั้งไล่กวดและปาดหน้าจนหล่อนต้องลงเอยแบบนี้ หล่อนยินดีให้แพทย์ทำอะไรกับร่างกายหล่อนก็ได้เพื่อต่อลมหายใจ แต่สิ่งที่หล่อนควรได้รับคือใครสักคนที่อยู่เคียงข้างจนวาระสุดท้าย

อมายา... หล่อนต้องการลูก...

พิยดาร้องไห้ฟูมฟาย หยดน้ำแห่งความอาวรณ์ไหลนองเปียกหมอนหนุนกับผ้าห่มที่คลุมกาย แต่ละวินาทีที่รอให้อมายามาถึงมันนานเหมือนร้อยคืนพันวัน

หล่อนกลัวเหลือเกินว่าจวบจนวินาทีสุดท้ายก็จะไม่ทันได้เห็นหน้าลูก

ยังมีสิ่งที่หล่อนอยากทำกับลูกอีกตั้งมากมาย... ยังมีอีกหลายอย่างที่หล่อนต้องทำเพื่อปกป้องอมายา แต่หล่อนทำไม่ได้... และหล่อนไม่มีโอกาสอีกแล้ว

หากเพียงในวาระสุดท้าย หล่อนแค่อยากได้ยินลูกเรียกว่า ‘แม่’ ...อีกสักครั้ง

“คุณ...” เสียงของอมายาดังมาใกล้ ๆ หล่อนแหงนมองคนที่เคลื่อนไหวตรงพื้นเหนือศีรษะ เห็นเจ้าหน้าที่ประคองลูกรักเข้ามานั่งข้างกัน ใจหนักอึ้งเบาลงในฉับพลัน

นี่ไม่ใช่ฝัน... อย่างน้อยอมายาก็มาทัน มือที่ถลอกจนเห็นเนื้อเอื้อมหาบุตรสาว ความสุขปริ่มล้นหัวใจ ในความเป็นจริงจะมีแค่ตอนเด็กที่อมายาจะวิ่งเข้าหาแม่แบบนี้ โตขึ้นหล่อนกลายเป็นผู้หญิงที่ลูกเกลียด ไม่คู่ควรกระทั่งกับคำว่าแม่

“หนูมาแล้ว ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ”

อมายาเห็นแม่แล้วใจหาย บาดแผลของเธอที่ถูกเย็บซ้ำบนรถพยาบาลคงเจ็บไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของแม่

หญิงสาวยกมือแม่แนบพวงแก้มซีดเซียว มันเย็นเยียบ ชีพจรเต้นเพียงแผ่วเบา น้ำตาลูกพรั่งพรูด้วยความเสียใจกระนั้นก็ยังฝืนยิ้ม... เธออยากให้จิตสุดท้ายของแม่จดจำแค่ภาพรอยยิ้มของเธอ

“ไม่ว่าออยจะอยู่ที่ไหน แม่ก็รอออยเสมอนั่นแหละ”

รอคอยให้ลูกมาหา แม้จะแค่วันสำคัญปีละไม่กี่ครั้งซึ่งลูกไม่เคยมา กระนั้นก็ไม่ใช่ความผิดอมายา เพราะหล่อนเองก็ไม่ได้ทำตัวให้ลูกอยากมาเจอเสียเท่าไหร่

ทำได้เพียงฝัน... ถึงวันที่ได้เฉลิมฉลองกับลูกอีกสักครั้ง

อมายากลั้นเสียงสะอื้นหากแต่เกินกำลัง ม่านหมอกแห่งทิฐิเลือนหายจากหัวใจ หลงเหลือเพียงความเสียดายที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลย เปล่าประโยชน์ เจ็บปวดกับความโกรธแค้น ไม่เข้าใจ

“หนูขอโทษ” ร่ำไห้ปานจะขาดใจในวันที่สาย... เวลาของเธอกับแม่เริ่มนับถอยหลัง ปากแม่ซีดเผือดน่ากลัว ดวงตาหรี่ปรือหม่นแสง

แม่เหนื่อยมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่แม่ต้องพักผ่อนและเธอทำได้เพียงอยู่เคียงข้างท่าน จ้องมองท่านจากไปช้า ๆ ด้วยหัวใจที่เหมือนจะแตกสลาย

“แม่ฝัน... ฝันมาตลอดว่าจะได้เห็นความอ่อนโยนแบบนี้อีก”

ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของแม่คลี่ยิ้ม ข้อนิ้วไล้ไปตามพวงแก้มเนียนละเอียด นึกถึงเด็กน้อยอมายาที่ติดแม่ยิ่งกว่าอะไร ละสายตาเดี๋ยวเดียวก็ร้องไห้หา เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาที่หล่อนยังเป็นคนสำคัญของลูก

“หนูจะอ่อนโยนต่อคุณ จะอยู่กับคุณไม่ไปไหนอีกแล้วนะคะ”

อมายาลูบศีรษะแม่อย่างเบามือ พิศมองใบหน้าซีดเผือดของแม่ทั้งที่ปากสั่นตัวสั่น นึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วเธอเหมือนใจจะขาด

พิยดามองหน้าลูกสาวผ่านไอน้ำตาพร่ามัว เด็กคนนี้หล่อนไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา หากในวินาทีที่อมายาลืมตาดูโลก หล่อนรู้ในทันทีว่าเพื่อลูกแล้ว... หล่อนยอมแลกแม้กระทั่งชีวิต

แต่น้อยนักที่ผู้หญิงไม่ดีจะเป็นแม่ที่ดีได้ แม้จะพยายามมากเพียงใด หนึ่งในนั้นคือพิยดา เพราะในวันที่สามีหันหลังให้ หล่อนก็เดินลงขุมนรก ถอนตัวก็ไม่ได้ กลับใจก็สายเกินไป ทั้งไม่อาจฉุดรั้งลูกสาวให้ตกต่ำเหมือนตน จำต้องทิ้งอมายาไว้กับอดีตสามี แม้มันจะเป็นปากเหวอันตราย หากอมายาก็มีที่ยึดเหนี่ยวที่มั่นคงอย่างคุณย่าของเธอ

“แม่ขอโทษนะออย ถ้าแม่ไม่เลือกทางผิด ชีวิตเราก็คงไม่ต้องเป็นอย่างนี้ แม่คงได้ทำหน้าที่แม่ของแก คู่ควรกับคำว่าแม่จากปากแก”

อมายาส่ายหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าแม่ทิ้งให้เธอตกนรก ความจริงแม่แค่ปกป้องเธอจากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า

“ไม่เลยค่ะแม่... ไม่ใช่เลย ตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว หนูจะเรียกแม่ว่าแม่ให้มากเท่าที่แม่อยากได้ยิน”

หล่อนไม่ต้องมีความสุขแค่ในจินตนาการอีกแล้ว... เพราะแม้ความเจ็บปวดและเหน็บหนาวจะแล่นปกคลุมร่างกายหล่อนคล้ายผ้าห่มผืนหนา แต่คำว่าแม่ที่ได้ฟังพาให้หัวใจพิยดาพองโตถึงมันจะเต้นช้าลงทุกทีก็ตาม

“ใครก็บอกแกว่าแม่ไม่อยากมีแก มันก็จริงอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ ไม่มีผู้หญิงรักสนุกคนไหนจินตนาการภาพตัวเองเลี้ยงลูกออกหรอก แต่ตอนที่แกอยู่ในท้องแม่ แม่ไม่กล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ แม้แต่จะขับรถ ทั้งที่แม่จะทำมากกว่านั้นก็ได้เพราะแม่ไม่ต้องการแก แต่แม่... แม่กลัวจะเสียแกไป...”

“ถ้าแม่ไม่ต้องการหนู หนูคงไม่ได้อยู่ตรงนี้จริงไหมคะ” อมายาจุมพิตหลังมือเย็นเฉียบเบา ๆ สายตาไม่ละจากใบหน้าอิดโรยนั้น พิยดาปรารถนาจะสัมผัสแก้มลูกอีกหนแต่หล่อนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง มือข้างที่ลูกกุมไว้ตกแนบกาย

“แม่เก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับออยไว้ตลอดนะ ของขวัญวันเกิดทุกชิ้นที่แม่ซื้อให้ ของขวัญ...” เสียงพูดนั้นแผ่วเบาจนขาดหายพร้อมกับแผ่นเปลือกตาที่กำลังปิดลง อมายาเขย่าร่างแม่อย่างร้อนใจ

“แม่คะ อยู่กับหนูต่ออีกนิดนะคะ หนูรักแม่นะคะ... แม่”

“แม่ก็รักออย” พิยดาฝืนลืมตา ตั้งสติและแข็งใจ หล่อนไม่ได้เจ็บปวดตรงไหนเว้นแต่ที่หัวใจ “...ของขวัญวันรับปริญญาของแก รวมถึงของขวัญที่แม่เตรียมไว้ให้แกในวันแต่งงาน ของรับขวัญหลานด้วย เดี๋ยวคนของแม่จะเอามาให้ แต่ตอนนั้นแม่คงไม่อยู่แล้ว”

พูดถึงตรงนี้พิยดาก็หลุดเสียงสะอื้นราวจะขาดใจ ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญของลูก แต่คงสมหวังแค่ในจินตนาการ

“ขอบคุณมากนะคะแม่” เธอวางมือบนหน้าอกที่แทบไร้แรงสะท้อน “แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูอยู่ทางนี้หนูจะเข้มแข็ง ถ้าหนูมีลูก หนูจะบอกเขาว่ายายของเขาน่าทึ่งขนาดไหน”

“จริง ๆ นะ”

“ค่ะ” อมายาพยักหน้า

“เขาจะไม่ลืมแม่ใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ หนูเองก็จะไม่ลืม”

“แม่รักแกนะออย”

“หนูก็รักแม่นะคะ”

“...”

“แม่คะ... แม่”

“แม่หนาว”

อมายาดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนถึงคอแม่ ซ้ำยังถอดแจกเก็ตที่เจ้าหน้าที่ให้ยืมห่มทับอีกชั้น

“อุ่นขึ้นหรือเปล่าคะ”

พิยดาพยักหน้า... แต่ความเหน็บหนาวกลับไม่บรรเทา คนเป็นลูกประคองใบหน้าเผือดสีแล้วกระซิบเสียงเศร้า

“แม่จำบทสวดมนต์ได้ไหมคะ”

เกินกำลังที่เธอจะยื้อท่านไว้ได้แล้ว อมายาจับสองมือของแม่มาประณมไว้กลางอก ความเศร้าเอ่อล้นจนปริ่มหยดในใจ หากแต่สิ่งที่รินไหลมีเพียงหยาดน้ำตา...

พิยดาเหม่อมองท้องฟ้าดำมืดแซมแสงไฟจากข้างทางผ่านไอน้ำตาสลัวราง มันดูมืดมิดไร้ความหวัง ทั้งเสียงรอบกายอื้ออึงทั้งไซเรนและผู้คนช่างปั่นประสาทจนหล่อนแทบสติแตก

หล่อนกลัว... ทั้งความตาย ทั้งการพรากจาก

หัวใจหล่อนเจ็บเหมือนกำลังถูกบิออกเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับที่ความหนาวแล่นจับขั้วหัวใจ... เวลาของหล่อนมาถึงแล้ว แต่ในสมองเต็มไปด้วยเรื่องของลูกบรรจุอยู่

วินาทีนี้ภาพที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ เสียงที่ติดอยู่ในโสตสดับก็เป็นเสียงของเด็กหญิงอมายา

“แม่คะ สวดมนต์กับออยนะคะ”

หล่อนถูกดึงจากภวังค์ด้วยเสียงหวานนุ่ม อมายายังยิ้มให้หล่อนแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยน้ำตา ปากอวบอิ่มพึมพำบทสวดภาวนาเริ่มด้วยนะโม...

หล่อนสวดตามที่ลูกชักจูง ค่อย ๆ จดจ่อและจมดิ่งอยู่กับการภาวนาจนทุกอย่างในหัวขาวโพลน นุ่มนวล เย็นสบายและเป็นสุข

เรียวปากของอมายาหยุดชะงักเมื่อไม่รับรู้ถึงลมหายใจของแม่อีกแล้ว แรกเริ่มมันแผ่วลง สลับกับสะดุดหาย จากนั้นก็แผ่วลงอีก...และหายไปในที่สุด

เธอหวังเหลือเกินว่าท่านจะไปสู่ภพภูมิที่ดี และหวังว่าแม่จะรอเธออยู่ตรงนั้น... ถ้าถึงเวลาเธออาจจะได้เจอท่าน ณ ที่ใดที่หนึ่ง

หรือหากชาติหน้ามีจริง ก็ขอเกิดเป็นลูกแม่อีกครั้ง อยากจะแก้ตัว และแก้ไขที่ทำพลาดไป ส่วนชาตินี้เธอคงไม่อาจลืมความเสียดายและเสียใจอย่างนี้ได้... ตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

อมายาจุมพิตกลางหน้าผากเย็นเยียบแทนการบอกลา ทั้งยังกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องปล่อยเสียงสะอื้นไห้บีบหัวใจคนฟัง หนึ่งในนั้นรวมถึงเขมราชด้วย

ตามปกติแล้วพอได้ฟาดงวงฟาดงากับเธอเขาจะกลับไปที่ของตัวเอง แต่วันนี้เขาได้รับรู้เรื่องน่าเศร้าจนไม่อาจข่มใจให้สงบ มารู้ตัวอีกทีก็ขับรถตามรถพยาบาลที่อมายานั่งมาถึงตรงนี้

ด้านหญิงสาวผละจากร่างแม่ ใจแทบขาดยามที่มองใบหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งความกดดันที่ปกคลุมอารมณ์ไว้เกือบทำให้เธอขย้อนเอาทุกอย่างออกมาเสียอย่างนั้น

หลับฝันดีนะคะแม่... ลาก่อน

เธอบอกเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ยืนใกล้ให้จัดการนำท่านออกจากซากรถ ก่อนเดินหลีกไปทางหนึ่ง สองมือกอดตัวเองปลอบประโลมความเจ็บปวดและเดียวดายให้สงบลง หากชนเข้ากับบางคนจนต้องเงยหน้ามอง

เขมราช...

หัวใจเธอวับหายไปกับอก เขายืนนิ่งในเงามืดของเสาไฟฟ้าที่พาดทับใบหน้า ก้มมองลงมาด้วยแววตาที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก...คล้ายปีศาจร้าย

อมายาถอยเท้าอย่างหวาดหวั่น พลันสะดุดเศษวัตถุจนล้มลงก้นกระแทกพื้น สองมือที่ยันพื้นถนนเจ็บแปลบเพราะเศษแก้วบาด

เขาสะท้อนในใจ... เธอทำเหมือนเขาเป็นสัตว์ร้าย แต่ที่ผ่านมาเขาก็ยอมรับ แม้ตอนนี้จะรู้สึกสงสารเธอจับใจ หากก็ต้องกัดริมฝีปากและข่มใจ

ชายหนุ่มย่อตัวลง เอื้อมมือไปจับสองไหล่บาง รั้งไม่ให้เธอกระถดหนี ในสายตาคนอื่นเหมือนเขากำลังเข้าช่วยเหลือ แต่ที่จริงมือนั้นบีบแรง ดวงตาคมจ้องเข้าไปในดวงตาสลดเศร้า

“ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง”

คำพูดร้ายกาจดั่งน้ำกรดราดรดจิตใจ ยังไม่เท่ารอยยิ้มสาแก่ใจที่ปรากฏบนใบหน้าก่อนที่เขาจะผละจาก

เขมราชเข้าใจความสูญเสียนี้ดี ต่างกันตรงที่หญิงสาวยังทันได้บอกลา แต่เขา... ไม่ทันแม้จะได้สั่งเสีย

เนื้อตัวอมายาสั่นสะท้าน ความอึดอัดกดดันซ้ำเติมเข้ามาในจิตใจ จนไม่อาจกลั้นไหว ในที่สุดหญิงสาวก็อาเจียนออกมาเป็นที่น่าสังเวชใจของคนรอบข้าง

แม้ในยามที่เธอกำลังเจ็บปวดเขาก็ไม่ละเว้น ความแค้นของเขาคอยตามหลอกหลอน หลับตายังฝันเห็น ตื่นมาก็ยังรู้สึก... มันทรมานจนเธออยากตายตรงนี้ให้สาแก่ใจเขาไป

เขมราชไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง บอกตัวเองว่าไม่ควรสงสารเธอ เพราะมันจะนำไปสู่การอภัย

ซึ่งเขา... ทำไม่ได้


อมายาออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดเพื่อนำศพของมารดาไปประกอบพิธีทางศาสนา เนื่องเพราะท่านไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน คุณอธิปก็ปฏิเสธจะเป็นธุระจัดการให้

ข่าวการตายของพิยดาลงประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ กระแสสังคมโจมตีประเด็นที่หล่อนอยู่ในวงการสีเทา และมีลูกสาวเป็นฆาตกร ส่วนใหญ่พากันสมน้ำหน้า อมายาไม่อยากใส่ใจคำวิจารณ์ที่เป็นเหมือนพิษร้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเข้าใจผิดพวกนั้นทำให้เธอแทบไม่เหลือที่ยืนในสังคม สูญเสียทุกสิ่งอย่าง

ก็เพราะหลักฐานมันชี้มาที่เธอ...

ยิ่งไปกว่านั้นรอยนิ้วมือและดีเอ็นเอที่หลงเหลือในรถคันนั้นทำให้คนอื่นยากจะปักใจว่าเธอถูกใส่ร้าย ทั้งที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าไปอยู่ในรถได้ยังไง สิ่งที่มั่นใจคือเอมมาลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ...

เพราะแบบนั้น... ต่อให้เธอสูญเสียและเจ็บปวดจนอยากตาย ให้รู้ว่าพวกเขาก็โหดร้ายไม่ต่างกัน เธอก็ไม่อาจได้รับความเห็นใจ ด้วยคำว่าฆาตกรมันตราหน้า

งานศพเป็นไปอย่างเงียบเหงา คืนแรกไปจนถึงคืนที่สามชาวีรับเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรม แต่ไร้เงาพ่อแม่เขามาร่วมงาน ด้านพ่อเธอกับครอบครัวท่านก็เป็นตัวอย่างของคำว่า ‘ตายไปไม่ต้องเผาผี’ ดีเลยทีเดียว

ส่วนคืนที่สี่กับห้าเป็นเพื่อนในแวดวงของแม่ซึ่งเธอไม่เคยรู้จักรับไป จนถึงวันเผาเลยไปวันเก็บอัฐิก็มีเพียงเธอกับชาวี สัปเหร่อและพระสงฆ์ทำพิธี

แน่นอน... ไม่มีวี่แววของนิกร ท่ามกลางความทรงจำแสนเศร้าระหว่างเธอกับแม่ที่ฉายซ้ำอยู่ในหัว ปรากฏภาพของนักการเมืองคนนั้นแทรกมาตลอดเวลา

การตายครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ... ลางสังหรณ์บอกว่านิกรมีส่วนรู้เห็น เธอไม่ได้อคติ แต่เพราะแม่กำลังเตรียมเล่นงานเขา ทั้งมีพยานเห็นว่ารถหลายคันไล่กวดรถของแม่

อมายาเทียวไปเทียวมาที่วัดกับสถานีตำรวจ ให้การเท่าที่รู้ แต่กลายเป็นฝ่ายนั้นเตรียมฟ้องหมิ่นประมาทเพราะเธอไม่มีหลักฐาน มิหนำซ้ำตำรวจยังตามตัวเจ้าของรถมาสอบปากคำไม่ได้ แสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์ดับลงต่อหน้า อมายาเจ็บปวดกับใจที่ทุกข์ทนเพราะความแค้น หากวู่วามไปจะได้กินข้าวต้มกระโจมกลางเสียเปล่า ๆ

ที่ผ่านมาเธอได้เรียนรู้มาจนรู้แจ้งแก่ใจแล้ว...  เวลานี้หญิงสาวยืนอยู่บนเรือที่เธอเช่าเหมาลำออกมากลางทะเลหัวหินเพื่อลอยอังคารแม่

“เรามาส่งคุณแม่กันเถอะค่ะน้องออย” ชาวี คนเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างในช่วงที่เจ็บปวดที่สุดนี้สะกิดศอกเธอเบา ๆ อมายาตื่นจากภวังค์เล็ก ๆ แล้วกำเถ้ากระดูกในโถสีทองหว่านลงกลางทะเล ความฉ่ำเย็นของน้ำคงช่วยให้ดวงวิญญาณของแม่ร่มเย็นและสงบสุข

“น้องออยคะ” ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ ชาวีหันไปหาคนที่หลายวันมานี้ปริปากพูดกับเขาเพียงไม่กี่ประโยค เป็นเรื่องยากที่จะถามเธอว่าต่อจากนี้จะเอาอย่างไร ทั้งที่ชีวิตเพิ่งผ่านเรื่องบัดซบมาหมาด ๆ แต่อันตรายโคจรอยู่รอบตัว เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อความปลอดภัยของเธอ

“ไปอยู่กับพี่ไหมคะ”

“ออยยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ค่ะพี่แชมป์” เธอคิดอะไรไม่ออก ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปล่อยให้เขาชี้นำยามใจอ่อนแอ เพราะนอกจากแม่กับย่าแล้ว... คนอื่นต่างก็ทำดีหวังผล

ชาวีจ้องใบหน้าด้านข้างไร้อารมณ์ของคนที่ถูกความโหดร้ายของโชคชะตาเล่นงานด้วยแววตาเป็นกังวล ก่อนเบนสายตามองถนนเบื้องหน้า

รู้ดีอมายามองเขาเป็นคนอย่างไร... พวกฉวยโอกาสและเห็นแก่ตัว

กระนั้นก็เพราะเขาไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวด เธอเองก็มีแต่ได้กับได้ จึงไม่มีเหตุผลที่อมายาจะผลักไสผู้ชายอย่างเขา

เพียงแค่ต้องรอให้เธอผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อนเท่านั้นเอง...

อมายาโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็เลือกจะไม่เซ้าซี้ ค่ำนั้นหญิงสาวกล่าวขอบคุณชาวีหลังจากเขาพามาส่งที่โรงพยาบาลที่ย่ารักษาตัวอยู่ น่าเศร้าที่ความจริงตอกย้ำว่าเธอเหลือท่านเพียงคนเดียว

ในจังหวะที่เดินมาถึงหน้าลิฟต์ มือถือของเธอก็สั่นอยู่ในกระเป๋าเนื่องจากสายเรียกเข้า เป็นเบอร์ของขาล ลูกน้องที่แม่เธอไว้ใจ ชายหนุ่มได้รับคำสั่งเสียโดยตรงครั้งสุดท้ายจากแม่ ให้นำของต่าง ๆ ที่ท่านทิ้งไว้ ทั้งทรัพย์สิน บัญชีเงินฝาก เงินสด และที่สำคัญโฉนดที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมืองมามอบให้เธอ

แต่พอรับสาย และได้ยินเสียงตอบกลับ อมายาก็เกือบจะปล่อยมือถือร่วงตก

[ถ้าไม่อยากให้พ่อฆ่าไอ้ขาล ลูกออยมาหาพ่อที่บ้าน คืนนี้สองทุ่มนะคะ พ่อจะเป็นคนมอบสิ่งสำคัญจากคุณแม่สุดที่รักให้ลูกออยเอง]

หญิงสาวแทบทรุดลงกับพื้น กรีดร้องในใจอย่างคนบ้าคลั่ง สิ่งที่แม่ทิ้งไว้มันจะช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายในการสู้คดีไปเยอะ นอกนั้นยังเหลือใช้อีกหลายปี เธอไม่อยากให้นิกรชุบมือเปิบ หากก็รู้เต็มหัวใจว่ามีอะไรรออยู่ที่บ้านเขา

แต่ถ้าเธอไม่ไป... ขาลก็จะตาย


ไปพบนิกรก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย อมายาจึงขอความช่วยเหลือจากชาวี คนที่แม่ไว้ใจว่าจะปกป้องเธอได้หากไม่นับเจตนาของเขา ซึ่งหญิงสาวคิดว่าแม่ดูออก และแม่ก็คงรู้ว่าในเวลานี้ไม่มีใครพึ่งได้กว่านี้อีกแล้ว

ตอนนี้ ชาวีบอกเธอว่าเขากำลังไปพาขาลออกจากเงื้อมมือของปีศาจที่สร้างรอยร้าวระหว่างเธอกับแม่ แต่ไหว้วานคนที่ไว้ใจได้มารับเธอไปอยู่ในที่ปลอดภัย ส่วนคุณย่าเขาจะทำเรื่องย้ายไปที่โรงพยาบาลของเขา

ขณะเร่งฝีเท้าไปยังจุดนัดหมายก็มีเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋า แม้ไม่อยากเสียเวลารับแต่มันกลับดังซ้ำ ๆ จนต้องกดรับเสียให้สิ้นเรื่อง

“ค่ะ พี่แชมป์... ออยกำลังไปค่ะ เขามาถึงแล้วเหรอคะ”

[เขาจะเลตนิดหน่อย น้องออยรอไหวไหมคะ]

เสียงปลายสายฟังดูเป็นกังวล เกรงช้าไปจะไม่ทันการณ์ เขากลัวมันจะมาลักพาตัวน้องไปเหมือนที่มันเคยทำ

“ไม่เป็นไรค่ะ ออยจะระวังตัว”

ชายหนุ่มจำต้องวางสายเพราะกำลังขับรถ อมายาเก็บมือถือในกระเป๋าพร้อมฝีเท้าที่ช้าลง แต่ก่อนจะได้เงยหน้าขึ้นกลับชนเข้ากับใครบางคนจนต่างฝ่ายต่างกระเด็นไปคนละทาง

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”

หญิงสาวถลาเข้าไปประคองหญิงวัยกลางคนที่ตนเดินชน โดยไม่ทันได้มองว่าเป็นคนที่รังเกียจเธอเสียยิ่งกว่าเชื้อโรคร้าย

วาดรวี... มารดาของมีนรญา

หล่อนผลักเธอสุดแขนจนอมายาหงายหลัง ตามด้วยฝ่ามือที่ฝากรอยช้ำซ้ำเติมรอยเดิมจนใบหน้าหญิงสาวสะบัดไปตามแรง

หากเธอข่มใจไม่ตอบโต้... เพราะมันจะต่างอะไรกับอันธพาล ทั้งยังตอกย้ำความโหดร้ายในฐานะ ‘ฆาตกร’ ยิ่งขึ้นไปอีก

“อย่าเอามือสกปรก ๆ ของแกมาแตะต้องตัวฉัน นังสารเลว”

วาดรวีแผดเสียง จ้องเธอด้วยแววตาน่าขนลุก ไม่คิดว่าการมาโรงพยาบาลเพราะอาการป่วยกำเริบกะทันหันครั้งนี้จะได้เจอผู้หญิงหน้าสวยใจทรามคนนี้

“เธอกะจะฆ่าคุณแม่อีกคนเลยเหรอ”

คนพูดคือเขมราชที่ตามลงมาประคองวาดรวี แววตาเขาเปี่ยมด้วยความเกลียดชังที่พาให้เธอรวดร้าวหัวใจ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“ข้ออ้าง!”

อมายาตวัดตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความไม่พอใจ แวบหนึ่งเธอถามตัวเองว่าทุ่มเถียงไปแล้วจะได้อะไร... ก็ไม่!

คนมันอคติไปแล้วต่อให้เธอเลิศเลอยิ่งกว่านางฟ้านางสวรรค์ก็ยังเลวทรามในความคิดเขาอยู่ดี

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”

ปฏิกิริยาโต้ตอบของเธอพาเขาฉงนใจ เหมือนไม่ใช่อมายาคนที่เขารู้จัก หากก็เข้าใจได้... คนเราเมื่อพบเจอกับความสูญเสียที่ยากจะทำใจ โลกมันก็คล้ายจะหมุนช้าลง ทุกอย่างรอบกายไม่มีผลกับความรู้สึก เพราะมันกำลังถูกความเศร้ากัดกินอย่างช้า ๆ มิหนำซ้ำ... หัวใจมันเต้นแผ่วลงจนแทบจะหยุดเต้นไปเสียอย่างนั้น

อมายาคงรู้สึกแบบนั้น... แต่เขายังไม่พอใจ

เธอยังเจ็บได้มากกว่านี้ เจ็บ เหมือนที่เขากำลังเจ็บอยู่

ขณะที่เขาเผลอคิดว่าจะทำอย่างไรให้เธอทรมานเจียนตาย หญิงสาวก็สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเก็บมือถือกับกระเป๋าตัวเองที่หล่นลงพื้นแล้วตัดสินใจเดินห่างออกไป

ในเมื่อเธอเลวร้ายและไร้ค่านัก... ก็อย่าได้ทนเห็นหน้ากันเลย

แต่อารามจะไปทำให้ลืมไปเลยว่ามือถือตัวเองเก็บเข้ากระเป๋าไปแล้ว ที่ถืออยู่เป็นของคนอื่น

“เจ็บตรงไหนไหมครับ”

วาดรวีสะบัดเขาออก สาดอารมณ์ใส่คนที่หล่อนสงสัยว่าร่วมมือกับอมายา มันจะไม่มีน้ำหนักเลยหากว่าที่ลูกเขยไม่ได้ไปนอนกับผู้หญิงคนนั้นหลังลูกสาวหล่อนตาย ยิ่งบังเอิญมาเจอกันยิ่งทำให้หล่อนมองเขาในแง่ดีเหมือนก่อนไม่ได้

“แม่จะให้มุกมารับ ป่านนี้คงเลิกงานแล้ว”

ให้อย่างไรก็ไม่กลับกับเขมราช ที่ยอมมาด้วยก็เพราะกลัวตัวเองจะมีอันเป็นไป มธุลินคงรับความสูญเสียอีกไม่ไหว

แต่แล้วก็พบว่ามือถือตัวเองหายไป อมายาคงเก็บไปด้วยตอนที่ชนกันเมื่อกี้

“รออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

เขาอาสา ก่อนจะก้าวสลับวิ่งไปตามทางที่เห็นว่าอมายาเดินไป เธอคงยังไปไหนไม่ไกล แต่ภาพที่เห็นที่หน้าโรงพยาบาลคือเธอกำลังยื้อยุดกับผู้ชายสามสี่คน ซึ่งน่าจะลงมาจากรถตู้คันที่จอดใกล้กัน มันคนหนึ่งถือปืนออโตเมติกสีเงินทาบตรงบั้นเอวอมายา ก่อนเธอจะขึ้นรถตู้คันนั้นไป... โดยดุษณี

แต่กลับทำหัวใจเขาสั่นไหวราวกับใบไม้ต้านแรงลม...

หากเขาไม่อยากเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องของเธอ ควรปล่อยให้เธอเจ็บปวดทรมานอย่างที่เขาต้องการ

มันควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ...


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่เห็นรถตู้ของนิกรคือชีวิตมันบัดซบได้ขนาดนี้เชียวหรือ แม้อมายาจะขืนตัวสุดแรง แต่ก็แพ้ให้กับด้ามปืน และทันทีที่เข้ามาในรถดวงตาก็เบิกกว้าง

“ไม่ต้องตกใจขนาดนี้ก็ได้ คนสวย”

อมายาพูดไม่ออก หัวใจกระแทกอกตึง ๆ เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นพ่อเลี้ยง เขาอยู่ตรงนี้เท่ากับไม่ได้รอเจอชาวี แต่เพราะร่างสะบักสะบอมของขาลที่ถูกมัดมือมัดเท้านั่งข้าง ๆ นิกรและตรงข้ามเธอมากกว่า

ขณะที่รถแล่นไปตามทาง เธอรู้สึกเหมือนรอบกายเงียบลงโดยพลันยามที่มองสำรวจบาดแผลของชายหนุ่ม ลมหายใจรวยรินพาให้เธอสะท้อนในใจ

“ขาล...” ที่เขาต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะเธอ หญิงสาวหมายใจจะเข้าไปหาแต่ถูกลูกน้องนิกรรั้งตัวให้นั่งลงที่เดิม

“ผมไม่เป็นไรครับคุณหนู” ขาลปรือตามองคุณหนู พลันน้ำตาก็ไหลปนกับเลือด เขาทั้งโกรธแค้นและเสียใจที่ไม่อาจดูแลเธอตามคำสั่งเสียสุดท้ายของนายหญิงได้

“คุณฆ่าแม่หนู แล้วคุณยังมาทำกับหนูแบบนี้อีก คุณมันเลว คอยดูเถอะคุณจะไม่ได้ตายดี”

นิกรหัวเราะเหมือนคำด่าเป็นเรื่องตลก แต่กลับพุ่งมาขยุ้มเรือนผมเธอพร้อมจดจ้องด้วยแววตาแข็งกร้าว

“กูจะฆ่ามึงอีกคนถ้ามึงต้องการ”

คำพูดของเขาคือคำสารภาพ เล่นเอาความโกรธพุ่งสุดเพดานจนอมายาหน้ามืด สองมือกำหมัดแน่น นึกอยากฉีกนิกรเป็นชิ้น ๆ หรืออย่างน้อยก็ตบเขาก็ได้... แต่เธอเรียนรู้มาแล้วว่าทำร้ายเขาก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเอง

เพราะขนาดคนที่อยู่กินกันนับสิบปีเขายังไม่ไว้ชีวิต นับประสาอะไรกับเธอ ซึ่งเขาจะทำ และทำแน่ ๆ ถ้าหากเธอยังไม่โอนอ่อนตามความต้องการของเขา

“พี่แชมป์ไม่ปล่อยคุณไว้แน่”

“งั้นมาดูกันว่าถ้าลูกสาวแสนสวยของพ่อถูกย่ำยีจนไม่เหลืออะไรให้มันแล้ว มันยังจะเต็มใจปกป้องหนูอยู่ไหม”

ว่าแล้วเขาก็กระชากเสื้อตัวงามจนขาดออกจากกัน อมายาฝืนดิ้นสุดตัวด้วยความแตกตื่นทั้งยังกรี๊ดลั่น ผสมกับเสียงคำรามร้องอย่างโกรธแค้นของขาลและเสียงหัวเราะชอบใจของคนกระทำอย่างนิกร

วินาทีนั้นพลันเกิดแรงกระแทกและเสียงโครมครามจนคนในรถกลิ้งตกเบาะ เกือบจะเรียกว่ากองกันตรงที่พักเท้า หนักหน่อยคงเป็นนิกรกับขาลที่แรงกระแทกพาให้ร่างกระเด็นอัดห้องโดยสารอีกฝั่งจนหน้าคะมำ

มีบางอย่างพุ่งชนรถคันนี้... ตรงตำแหน่งที่นิกรนั่งพอดี

มันไม่ได้แรงพอจะทำให้พลิกคว่ำ แต่เพียงพอจะหยุดรถและการกระทำชั่วช้าของไอ้แก่ตัณหากลับ พร้อมกับมีบางคนงัดประตูที่ยุบเข้ามาอย่างทุลักทุเล

แต่ท้ายที่สุดมันก็ถูกเปิดออก อมายาผลักผู้ชายตัวเขื่องที่ทับตัวอยู่เพื่อมองใครคนนั้นเต็มตา

“ขอโทษนะครับ”

เป็นเขา... เขมราช

“ผมไม่ได้ตั้งใจชน แต่มีคนพยายามจะขโมยของของผม ก็เลยต้องตามมาเอาคืน”

หัวใจของอมายากระตุก คำว่า ‘ของของผม’ พาใจเธอไหวสั่นอย่างบอกไม่ถูก... คล้ายกับว่าเขาหวงแหนกัน... แต่เธอฝันอยู่หรือเปล่า เพราะในความเป็นจริงเธอไม่มีวันเป็น ‘ของหวง’ ของเขมราชได้เลย

แต่ความจริงตัวเป็น ๆ กำลังกระชากลูกน้องนิกรแล้วเหวี่ยงออกนอกรถ คนแล้วคนเล่า... จนมือหนึ่งสามารถคว้าข้อแขนเรียวแล้วอีกมือก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าของอมายาได้ในที่สุด

“ลุกขึ้นมา”

เขาออกแรงกระชากร่างแบบบางออกจากตัวรถ ส่วนลูกน้องของนิกรก็ช่วยเจ้านายตัวเอง ขณะที่เขาก้มมองตามร่างกายเธอพร้อมกระตุกยิ้มพอใจในผลงาน เริ่มแรกคิดว่าอาจจะมีขากุดคอหักกันเลย

“ไม่บุบสลาย”

อมายามองตาเขานิดหนึ่ง อยากรู้ว่าที่บอก ‘ของของผม ‘เขาพูดจริงหรือแค่กวนประสาทเจ้าของรถ หากก็พบเพียงแววขบขันจากดวงตาคู่นั้น เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอจะให้เธอหักใจ

เขมราชปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วถอดมาคลุมให้คนที่เสื้อขาดรุ่งริ่ง ไม่ต้องเดาให้ยากว่านักการเมืองกังฉินที่กำลังทำท่าราวถูกอัญเชิญลงมาจากรถพยายามทำอะไรกับลูกเลี้ยงตัวเอง

“นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็คุณเขมราชนี่เอง”

เขมราชหันหานิกร ฝ่ายนั้นรับรู้ถึงแววตาขุ่นเคืองในระยะห่างแค่นี้ แต่ชายหนุ่มก็แสร้งยิ้มให้ หากแต่ดันอมายาไปหลบข้างหลังตน

หญิงสาวเหลือบมองใบหน้าเขาผ่านไหล่หนาขึ้นไป ใจดวงน้อยอุ่นขึ้นเพราะเขาทำให้เธอนึกถึงพี่เฟลมคนเดิมที่ยังรักเธอหมดทั้งใจ

“ผมขอคนนี้คืนนะครับ”

7

ถุงขยะ

“ขอคืนเหรอ?”

นิกรทวนคำเสียงหยัน พลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ แต่ชายหนุ่มกลับยืนมั่นคงไม่ถอยหนี ด้านอมายานั้นอยากตัวเล็กที่สุดจะได้หลบสายตาดุร้ายของไอ้แก่นั่นให้พ้น ๆ

“ไม่ได้เหรอครับ?”

“เดี๋ยวนะ... ผมไม่เข้าใจนิดหน่อย ถ้าจำไม่ผิด เธอเป็นคนที่ขับรถชนเมียที่กำลังท้องของคุณไม่ใช่เหรอ?” นิกรจ้องลึกเข้ามาในตา แต่เพราะคิดไว้แล้วเขมราชถึงได้ไม่หวั่นไหว

“เข้าใจถูกแล้วครับ”

“แล้ว...?” นิกรใช้สายตาแทนคำถาม

“จนกว่าเธอจะได้รับโทษทางกฎหมาย ผมไม่ปล่อยให้ใครเอาตัวเธอไปหรอกครับ ไม่ว่าคนคนนั้นจะพาเธอไปทำมิดีมิร้าย หรือจะแค่อยากปกป้องเธอก็ตาม”

นิกรบิดปากเยาะก่อนหันไปขำกับลูกน้องตัวเอง แล้วในจังหวะที่เขมราชไม่ทันตั้งตัว ไอ้แก่บ้ากามก็คว้าปืนจากลูกน้องมาจ่อหน้าผากเขา นกปืนก็ถูกขึ้นเรียบร้อยแล้วตอนหันกลับมา

“กูไม่ให้” เสียงกลั้วหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นลอดไรฟัน อมายาแทบทรุดลงกับพื้น แต่เขมราชกลับไม่ยี่หระ เขารวบปืนสีเงินแล้วกดเข้ามาอีก

“งั้นยิงกูสิ ถ้ามึงกล้า”

บ้าไปแล้ว... อมายาโอดครวญในใจ

เขมราชจะเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งเพื่อผู้หญิงที่เขาคิดว่าฆ่าลูกเมียเขาเนี่ยนะ หรือจริง ๆ เขาไม่ได้เกลียดชังเธอมากมายนัก

หรือเพราะเขา... รู้จักสันดานนิกรดีกันแน่

ด้วยคนที่พูดจริงทำจริงอย่างพ่อเลี้ยงเธอในตอนนี้กลับมีท่าทีลังเล

“มึง ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กูจะฆ่ามึง”

“เอ้า ก็ฆ่าสิ” เขากดปืนหนักขึ้นอีก รู้ว่านิกรไม่กล้า นั่นเพราะป้าเขาสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม การฆ่าเขาจึงพ่วงมาด้วยผลเสียร้ายแรง

“ถ้ามึงไม่กล้า ก็อย่ามาขวางทาง”

ฉับพลันเขมราชก็ตบปืนในมือนิกรมาได้ กลายเป็นนิกรเสียเองที่จนแต้มและกำลังโดนปืนเล็ง พร้อมกันนั้นลิ่วล้อชายชราก็พร้อมใจกันชักปืนเล็งมาที่เขาเช่นกัน

“ไม่กลัวปืนลั่นใส่หัวเจ้านายพวกมึงเหรอ”

เหล่าชายฉกรรจ์ลังเล ไม่ต่างกับเจ้านายที่ทำสัญญาณมือให้ลดปืน เขมราชจึงโยนกระบอกที่อยู่ในมือลงใกล้เท้านิกร หมายใจจะให้โดนเท้าแต่อีกฝ่ายกลับชักหลบทัน

ทั้งคู่จ้องกันอย่างดุเดือดก่อนจะเป็นฝ่ายเขมราชที่ตัดสายตากลับมาคว้ามือคนข้างหลังให้ก้าวเดิน

“ไปได้แล้ว”

อมายาแทบปลิวไปตามแรง แต่เธอมีอีกอย่างที่สำคัญกว่าต้องทำจึงฉุดแขนใหญ่ให้เดินช้าลง ทำให้เขาก้มมองอย่างขัดใจ

“ช่วยเพื่อนฉันด้วยนะ เขายังอยู่ในรถคันนั้น”

“ได้คืบจะเอาศอกเหรอเธอ?”

“ถ้าคุณไม่ช่วย เขาตายแน่ ๆ”

เขมราชเผลอมองเธอด้วยแววตาอ่อนลงชั่วครู่ ก่อนหลบดวงตาอ้อนวอนนั้นและจัดการความรู้สึกตัวเองแล้วหันมาถาม

“เพื่อนเธอผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชาย”

“นายที่โดนซ้อมจนหน้ายับ?”

“ใช่ คุณเห็นเขาเหรอ”

เขมราชมองไปทางรถตู้ของนิกร อมายาอดมองตามไม่ได้ เห็นชายสูงวัยกับลูกน้องวิ่งวุ่นเหมือนทำสัตว์เลี้ยงหลุดหาย คิ้วงามที่พาดผ่านดวงตาชุ่มน้ำก็ขมวดมุ่น แล้วหันกลับมามองเขาอย่างฉงนใจ

“ป่านนี้เขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

ตอนที่เขาถูกปืนจ่อ คือจังหวะเดียวกับที่เพื่อนเธอจะหนี ดูแล้วนายนั่นต้องการความช่วยเหลือมากกว่าอมายา เขมราชจึงเบี่ยงเบนความสนใจพวกนั้นด้วยการจ่อปืนใส่นิกรเพื่อเปิดทางหนี

“จะรีบไปหรือจะอยู่ตรงนี้ให้มันมาลากไปอีกรอบ”

เขมราชบีบมือเธอพลางมองไปยังพวกนั้น อมายามองตามอีกครั้ง คราวนี้ประสานกับสายตามาดร้ายของนิกร ที่ราวกับจะย้ำว่าจะไม่ปล่อยเอาไว้ทั้งเขาและเธอ

“ไปกันเถอะ”

หญิงสาวลนลานลากแขนเขมราชให้เดินต่อ มันทำอะไรเขมราชไม่ได้อยู่แล้ว... แต่กับเธอที่เป็นเพียงวัชพืชไร้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ จะถูกเหยียบย่ำจนตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


ไม่ง่ายนักที่ฆาตกรจะเข้ามาอยู่ในรถคันเดียวกับญาติของเหยื่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย อมายาจึงจัดให้เหตุการณ์นี้อยู่ในหมวดไม่ปกติ

“ขอบคุณนะ”

“ฉันไม่ได้มาช่วยเธอ” เขาหันไปจับกระเป๋าเธอ “แต่ตามมาเอามือถือคุณแม่ เธอเก็บมาด้วยตอนชนกัน”

อมายารีบเปิดดูในกระเป๋าก็เห็นว่ามีมือถือสองเครื่อง ภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง ถ้าไม่ดูภาพหน้าจอก็คงไม่รู้

“...ส่วนเธอน่ะ ฉันทำทาน”

ทำทาน... คำนี้ทำให้อมายาสะอึก มันให้ความรู้สึกยิ่งกว่าเธอไม่สลักสำคัญ ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นเสมอมา แต่เธอกลับ... เผลอคาดหวังไปไกลแสนไกล อีกทั้งใบหน้าด้านข้างของเขมราชยังชวนให้คิดถึงวันวานจนปวดหัวใจ

พอไม่มีเรื่องบาดหมางรักสามเส้ากับการตายของมีนรญามาเกี่ยวข้อง เธอกับเขาก็ยังเป็นน้องออยกับพี่เฟลมที่คุ้นเคย โดยเฉพาะเขาที่มักบ่นเมื่อเธอไปสร้างเรื่อง

“ทีหน้าทีหลังอย่าทำตัวเป็นถุงขยะที่ปลิวไปตามลม ใครจะพาไปไหนก็ได้แบบนี้อีก หัดเก่งให้เหมือนกับตอนที่ราวีคนอื่นบ้าง”

เขมราชพูดเสียงดุ ๆ เธออยากเถียงว่าเธอเลือกไม่ได้ หรือต่อให้ได้เลือก... ก็ยังต้องยอมจำนนอยู่ดีเพราะคนพวกนี้เล่นถึงชีวิต กระนั้นก็ไม่อยากต่อปากต่อคำ

อมายาเอนหลังพิงศีรษะกับเบาะ หลับตาลงช้า ๆ และเกือบหลับลึกเพราะตรากตรำมาทั้งวัน ลึกลงไปรู้สึกเหนื่อยจนท้อ แต่ก็ไม่อยากยอมแพ้โชคชะตา ยังเชื่อว่าสักวันชีวิตจะพบความสุข แต่คำพูดของเขากลับทำลายความสงบเพียงชั่วครู่ของเธอลง

“หรือจริง ๆ แล้วมันมีเบื้องลึกเบื้องหลัง?”

“...” หญิงสาวฝืนลืมตามองเขาเพราะไม่เข้าใจที่พูด

“เธอแอบเป็นชู้กับพ่อเลี้ยงตัวเอง จนวันนึงเธอมีที่เกาะใหม่มันก็เลยไม่พอใจแล้วมาทำแบบนี้”

จบคำพูด ทั้งที่เธอง่วงจนตาแทบปิดแต่ใบหน้ากลับร้อนฉ่าเพราะองศาอารมณ์ที่ไม่ลดลงเลย

“ในหัวคุณแม่งมีแต่ความคิดโสมม เอานิสัยตัวเองเป็นบรรทัดฐานงั้นสินะ”

หลายครั้งหลายหนที่เธออยากเฉือนหัวใจตัวเองทิ้งเพราะเกลียดที่มันเผลอไปคิดถึงแต่ด้านดี ๆ ของเขา เผลอหลอกตัวเองว่ายังเหมือนเดิม

ทั้ง ๆ ที่เขา... เลวร้ายเกินเยียวยา และเกลียดเธอมากกว่าที่เธอรู้สึก

เธอเองก็เกลียดชังนิกร ผู้ชายที่ฆ่าแม่ของเธอ เห็นหน้าก็ขยะแขยง แค่ได้ยินชื่อก็อยากอาเจียน และปรารถนาให้ตายโหงตายห่าเสียวันนี้พรุ่งนี้

แล้วมันจะต่างกับเขาอย่างไรล่ะ...

“เปล่า” เขมราชแสยะยิ้มพลางสาวพวงมาลัยเข้าโค้ง

ใช่จะไม่รู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด แต่เขากระสันอยากจะทำร้ายจิตใจเธอจนตัวสั่น และที่ทำลงไปก็ได้ผลไม่เลวนัก

“แค่ทรงเธอดูเหมือนคุณโสฯ เลยคิดว่าสันดานน่าจะไม่ต่างกัน”

“เขมราช!”

“ควรพูดกับคนที่ช่วยชีวิตคุณแบบนี้เหรอครับ คุณอมายา”

เธอกัดฟันแน่น อยากฉีกเนื้อเขาออกแล้วเอาเกลือทา หากทำได้เพียงจ้องหน้าเขา แต่ลาวาอารมณ์ทำให้สายตาที่มองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะท้าทาย

“มองแบบนี้ก็ฆ่าฉันให้ตายตามมีนไปเลยสิ เรื่องถนัดเธออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

เผียะ!

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เธอหมดความอดทน รู้ตัวอีกทีฝ่ามือก็ฟาดหน้าเขาไปเต็ม ๆ และมันทำให้รถเกือบเสียหลัก ยังดีที่เขาประคองไว้ได้ ก่อนจะเหยียบเบรกจนศีรษะเธอกระแทกคอนโซล

เขากระชากเธอเข้าไป อมายาเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก แขนก็สะบัดเขาออกตามสัญชาตญาณ แต่เพราะเหลือช่องว่างระหว่างกันเพียงน้อยนิด แขนเล็กเลยได้ทุบตีเขาแทน ลาวาในอกเขมราชจึงปะทุรุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ

“เธอมันก็เก่งแต่ใช้กำลัง สมองน่ะมีบ้างไหม หรือมีไว้แค่คั่นหู หา? นังฆาตกร!”

เขมราชโกรธจนเลือดขึ้นหน้า... โกรธจนจะฆ่าเธอตายตอนนี้ก็ยังได้ รู้สึกเหมือนความดำมืดกำลังครอบครองจิตใจเขาช้า ๆ

“ปล่อยฉันนะ ปล่อย”

หัวใจอมายาเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น รู้สึกคล้ายมีเงามัจจุราชทาบร่างเขาอยู่ เขาน่ากลัวจนหัวใจเธอแทบหยุดเต้น หากยิ่งต่อต้านมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตอบโต้ด้วยกำลังแรงมากเท่านั้น

แต่ก่อนจะได้บีบเธอแหลกคามือ ก็มีคนเข้ามาเคาะกระจก คงเพราะเห็นความผิดปกติ จนเขาต้องดึงอมายามาปิดปากไว้แล้วลดกระจกลงไปบอกว่า

“อย่ามายุ่งเรื่องผัวเมีย”

แล้วก็ขับรถออกมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เพียงมือเดียวบังคับพวงมาลัย พอถูกปล่อยตัวอมายาก็ถึงกับหอบหายใจแรง เพราะเขาปิดทั้งปากทั้งจมูกจนแทบขาดอากาศหายใจ

“ไอ้บ้า ไอ้ ไอ้ ฉิบหาย ไอ้เลว”

คำผรุสวาทหลุดจากปากอมายาอย่างบ้าคลั่ง เป็นอีกครั้งที่เขากระชากเข้าไปแต่คราวนี้รั้งเอวบางไว้ด้วย

“ถ้าเธอปากหมาอีกครั้ง ฉันจะพาเธอไปโยนให้ไอ้นิกรมันขย้ำ”

เธอได้แต่ร่ำร้องอย่างขัดเคืองใจ เสียการควบคุมตัวเองไปจนเกือบหมดเมื่อถูกเขากวนโมโห สิ่งที่รู้ในตอนนี้คืออยากหนี... หนีไปให้ไกลแสนไกล จนใครก็ตามไม่เจอ

แต่วินาทีนั้นมือถือในกระเป๋าก็กรีดร้อง อมายาสะบัดเขาออกแรง ๆ แล้วหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นสายของชาวี

เธอลำบากใจที่จะรับ กระนั้นก็ไม่อยากทำให้เขาไม่สบายใจ จึงกดรับสายพร้อมกับสังเกตว่าเขมราชเหลือบตามอง

“ฮัลโหลค่ะพี่แชมป์”

[น้องออยอยู่ที่ไหนคะ]

เสียงปลายสายฟังดูร้อนใจ เพื่อนเขาตามหาเธอทั่วโรงพยาบาลแต่ก็ไม่เจอ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะช้าเกินไป

“ออยอยู่ข้างนอกค่ะ แต่พี่แชมป์คะ ท่านนิกรไม่ได้อยู่รอเจอพี่แชมป์ใช่ไหมคะ”

[น้องออยรู้ได้ยังไง]

ใจคนฟังหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาให้เลขาขอนัดนิกรเป็นการด่วน นิกรยอมรับนัดเป็นดิบดี ขณะเดียวกันก็ให้เพื่อนไปรับอมายามาจากโรงพยาบาลที่คุณย่ารักษาตัว ไม่คิดว่าไอ้แก่เจ้าเล่ห์จะหลอกเขา มันคงรู้ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรเลยชิงไปหาอมายาก่อนแล้วคิดจะมาพูดทีหลังว่า ‘ไม่รู้’ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับอมายาไปแล้ว... มันเรียกกลับคืนมาไม่ได้

มันต้องการให้เป็นอย่างนั้น...

นาทีนั้นชาวีคิดไปสะระตะ แต่ฟังจากน้ำเสียงอมายาแล้วเดาได้ว่าเธอยังปลอดภัย

“ออยเจอเขามาแล้วค่ะ”

ขณะคุยสาย สายตาที่เขมราชจ้องมาก็ทำให้เธออึดอัด อยากลงจากรถก็ถูกมือใหญ่ยื้อเอาไว้จึงได้แต่ด่าทอเขาทางแววตา ส่วนปากก็พูดตอบชาวี

“ท่านนิกรเขามาหาออยที่โรงพยาบาล เราได้คุยกันแล้ว เขาไม่คืนของจากแม่ แต่เขาปล่อยตัวขาลแทน ตอนนี้ขาลปลอดภัยแล้วค่ะ”

เสียงลมหายใจหนัก ๆ ของเธอดังก้องห้องโดยสาร ไม่ว่าจะถามตัวเองสักกี่ครั้งก็ได้คำตอบเดิม คือถ้าไม่มีเขมราชเข้ามาเกี่ยวในคืนนี้ เธอจะบอกชาวีทุกอย่าง ว่านิกรตั้งใจมาฉุดเธอ แต่เขมราชช่วยเอาไว้ ส่วนขาลก็หนีไปได้โดยบังเอิญ ไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรกับนักการเมืองชั่วทั้งสิ้น

แต่เพราะเธอกลัว... ชาวีอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอนัดพบกับเขมราชมาก่อนแล้ว มันคงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอสัมผัสได้ว่าลดลงทุกคราในใจเขา

อย่างน้อยเธอก็เห็นแก่แหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย...

และอย่างน้อย... ชาวีก็คือหลักสุดท้ายของชีวิตเธอ

แต่คำโกทำให้เขมราชนิ่วหน้ามองคนตัวเล็ก เธอไม่อยากให้ชาวีรู้ว่าอยู่กับเขาถึงขนาดนี้เชียวหรือ วินาทีนั้นความคิดชั่วร้ายปรากฏขึ้นภายในใจ

ส่วนคนปลายสายในหัวกลับมีแต่คำว่า ไม่น่าเป็นไปได้... แต่เพราะเขาพยายามจะไม่สงสัยในตัวว่าที่เจ้าสาว จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

[เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะจัดการให้เอง]

ไอ้แก่เจ้าเล่ห์จะเล่นลิ้นกับเขาได้แค่ครั้งนี้ ต่อไปไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ทรัพย์สิน หรือแม้แต่เงินสลึงเดียวหากมันควรจะเป็นของอมายาเขาก็จะไม่เหลือให้มันอมลงโลง

หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขา และบอกเลิกสายสนทนาไปแล้ว กลับต้องมาเจอสายตาแข็งกร้าวของผีร้ายข้างกาย อมายารู้สึกเย็นเยือกคล้ายมีแท่งน้ำแข็งกรีดไปตามสันหลังยามที่เขากระตุกยิ้มตามด้วย

ไม่ต้องรอให้เขาพูด ก็รู้ได้ว่าอันตรายใกล้เข้ามา หญิงสาวสะบัดแขนออกแล้วหันไปเปิดประตู แต่เขมราชกดล็อกไวกว่า ใบหน้าสวยหันมาจ้องเขา

“ปล่อยฉันลง”

“ไม่”

“เฟลม!”

เขามองเธอด้วยแววตาเรียบนิ่ง ราวเป็นคนละคนกับปีศาจร้ายที่หมายห้ำหั่นให้เธอสิ้นลมหายใจ แล้วหันไปขับรถหน้าตาเฉย พอเธอเข้ายื้อแย่งพวงมาลัยกลับโดนสะบัดออก แถมเขายังเร่งความเร็วและแกล้งขับส่ายไปจนคนชอบความเร็วอย่างเธอต้องเปลี่ยนมาคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วนั่งนิ่ง ๆ แทนโวยวาย

อมายามองผ่านกระจกออกไปยังทิวทัศน์ของเมืองหลวงยามค่ำคืน หัวใจก็หวาดหวั่นกริ่งเกรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขากำลังจะพาเธอไปที่ไหน...

นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เธอบอกเขาว่าต้องการจะไป...


จุดหมายปลายทางของเขมราชคือเพนต์เฮาส์หรูใจกลางเมือง มีทางเข้าและลิฟต์ส่วนตัวสำหรับนำรถขึ้นไปจอดในโรงจอดรถลอยฟ้าของห้องเขา ไม่นานรถทั้งคันก็ขึ้นมาอยู่ในห้องกระจกรอบทิศทาง เบื้องหน้าคือประตูกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นทุกอย่างในห้อง ตกแต่งอย่างมีสไตล์ ซึ่งคนระดับเธอไม่มีปัญญาเอื้อมถึง ส่วนด้านหลังเผยให้เห็นทิวทัศน์เมืองหลวงยามค่ำคืน

อมายาจึงไม่มีทางหนี แม้แต่กระโดดลงไปยังทำไม่ได้ เพราะจากตรงนี้เธอคิดว่ามดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไป

“ลงมา”

“ไม่! ฉันจะกลับบ้าน”

ที่ปลอดภัยสุดท้ายก็คือในรถ แต่เขาไม่ปล่อยให้เธอทำตามใจ ก้มลงไปช้อนร่างเธอขึ้นอุ้ม หญิงสาวทั้งหวีดร้องทั้งดิ้นเร่า หากก็เป็นได้แค่ความรำคาญเล็ก ๆ สำหรับคนตัวใหญ่อย่างเขา

เขมราชอุ้มเธอผ่านห้องรับแขกของห้องหรูขนาดสองชั้น ตรงไปยังห้องนอนชั้นล่าง ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวจนดิ้นสุดแรงเกิด แถมยังกัดไหล่เขาชนิดที่ว่าจะเอาให้เนื้อหลุด จนคราวนี้จะร่วงตกแล้วจริง ๆ

“โอ๊ย!”

อั่ก!

เขาปล่อยร่างแบบบางลงกระแทกพื้น ถึงจะมีพรมราคาแพงรองรับ หากมันไม่เพียงพอจะลดแรงกระแทก เขมราชถูแขนตัวเองยิก ๆ มองเธอด้วยแววตาไม่พอใจ เห็นหญิงสาวงอก่องอขิงก็นึกสมน้ำหน้า

ดิ้นดีนักก็ควรเจ็บเสียบ้าง

แต่เจ็บเท่านี้คงไม่ถึงตาย...

เขากลับไปล็อกประตูห้องนอน เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวต้องตกใจจนรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นหาย อย่าว่าแต่จะหนีไปจากเขาเลย แค่จะพาตัวเองลุกขึ้นยังทำไม่ไหว

“จะข่มขืนฉันเหรอ?”

เธอถามอย่างตรงไปตรงมา เขมราชยักไหล่ ก่อนจะเข้ามาลากเธอขึ้นไปบนเตียง เหมือนเป็นสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องถนอม อมายานึกถึงคำพูดเขาที่ว่าเธอเหมือนถุงขยะแล้วก็คิดว่าไม่มีครั้งไหนที่จะใช่เท่าครั้งนี้

“คิดว่ายังไง”

สองแขนเธอถูกกดลงกับที่นอน โดยที่เขาขึ้นมานั่งคร่อม แต่ถึงหวาดกลัวสุดใจอมายาก็จ้องกลับเขาอย่างไม่ยอมแพ้

“คุณมันบ้าไปแล้ว คุณจะทำแบบนั้นกับผู้หญิงที่ฆ่าลูกเมียคุณเหรอ? ตอนนี้คุณไม่ได้เมานี่ คุณทำได้เหรอ? คุณไม่ทำหรอก”

“ก็ไม่แน่ ถ้ามันจำเป็นต้องทำ”

เขาใช้คำว่าจำเป็นต้องทำ...

เขาต้องการอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ยังบอกให้เธอเลิกพยายามให้เขากลับมารักอยู่เลย นี่จะมายัดเยียดตัวเองให้เธอทำไมกัน

ยังไม่ทันจะได้คำตอบ เขาก็ฉกใบหน้าลงมาบดจูบเรียวปากสวยจนเธอสัมผัสถึงเลือด ลามเรื่อยลงไปตามปลายคางเรียว ฝากรอยดูดไว้ที่ซอกคอจนเธอเจ็บร้าวไปหมด แล้วค่อยลงมือฉีกกระชากเสื้อที่ขาดอยู่แล้วให้ขาดออกจากกัน ตามด้วยชุดชั้นในที่เป็นปราการด่านสุดท้าย

“ไอ้เหี้ย ไอ้สารเลว ฮือ... ไอ้ชั่ว อย่าทำกับฉันแบบนี้”

อมายาสูญเสียการควบคุมตัวเองแล้วก่นด่าเขาอย่างบ้าคลั่ง เขมราชเม้มปากมองเรือนร่างเย้ายวนที่เขาเพิ่งมีโอกาสได้มองขณะมีสติ ทำให้เขาเผลอกลืนน้ำลายลงคอ

เธอสวยงามไร้ที่ติ... จนเขาไม่อยากให้ใครแตะต้อง ยิ่งคิดว่าเธอมีเจ้าของคืออดีตเพื่อนสนิทของเขา เขมราชก็ร้อนรุ่มในใจ

แต่ในความงดงามของเธอกลับมีภาพมีนรญาซ้อนทับอยู่ ความรู้สึกผิดเลยกระแทกอัดเข้ามาในใจ จนเขาอยากล้มเลิกความตั้งใจไปเสียอย่างนั้น

แต่ยังก่อน...

ยังไม่ใช่ตอนนี้...

ร่างใหญ่โน้มลงไปฝากรอยดูดตามเนื้อตัวขาวผ่องซึ่งมีกลิ่นหอมผสมกับกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของเธอ รอยแล้วรอยเล่า... จนแทบไม่เหลือช่องว่างให้เขาทำอีก

นั่นแหละเขาถึงพอใจแล้วผละออก ทิ้งให้อมายาร่ำไห้กอดตัวเองอยู่บนเตียง แน่นอนน้ำตาของเธอมีผลข้างเคียงต่อหัวใจเขา

เขมราชมองเธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มแล้วเจ็บหนึบในอก แต่พอนึกถึงหน้าเมียรักแล้วก็ตัดมันออกไปได้

“อย่ามาทำสำออย ฉันไม่ได้ข่มขืนเธอจริง ๆ ซะหน่อย”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน” เธอสะอื้นถาม

“ตรงไหนน่ะเหรอ” ชายหนุ่มโน้มลงมาใช้ปลายจมูกคลอเคลียพวงแก้ม แล้วกระซิบเสียงเย็น “อยากให้ฉันทำให้ดูไหมว่าตรงไหน”

อมายาผลักเขาออกสุดแขนก่อนมุดใบหน้าลงกับที่นอน ความเจ็บปวดที่เขามอบให้พาให้ใจหวนคิดถึงสัมผัสนุ่มนวลที่เคยได้รับเมื่อยังรักกัน

ริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้นบรรจงจูบผิวแก้มเธอช้า ๆ อย่างถนอมสุดใจ... มาเวลานี้เขากลับทำร้ายให้เธอเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอนั่น เธอก็อยากตายไปเสียให้พ้น ๆ

เขมราชตรงไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อยืดกับกางเกงบอลออกมาโยนให้เธอ

“อาบน้ำแต่งตัวซะ ฉันมีเซอร์ไพรส์”

อมายาสะอื้นเงียบ ๆ แต่ความเจ็บปวดที่กำลังโห่ร้องอยู่ในอกทำให้น้ำตาไหลพรากจนเปียกชุ่มผ้าห่มผืนบางที่ดึงมาคลุมกาย

ไม่ว่าจะเป็นนิกรหรือเขมราช พวกเขาก็เลวร้ายกับเธอไม่ต่างกัน ผิดกันตรงที่เธอคงเจ็บน้อยกว่าหากคนที่ทำแบบนี้ไม่ใช่คนที่เธอรัก

หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า เหนื่อยเหลือเกิน... ขอเธอพักสักเดี๋ยวได้ไหมแล้วจะทำอะไรกับเธอต่อก็สุดแล้วแต่ใจเขาเลย

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขมราชอุ้มเธอเข้ามาในห้องน้ำ ร่างกึ่งเปลือยดิ้นรนเท่าที่มีแรง แต่กลับสร้างเพียงความรำคาญใจให้เขาเท่านั้น

“ที่นี่ห้องฉัน ฉันบอกให้เธออาบน้ำ เธอก็ต้องอาบ”

“ฉันอยากกลับบ้าน”

“ได้” เขาก้มมองคนที่งัวเงียในอ้อมแขน “แต่ต้องหลังจากที่ฉันเสร็จธุระ”

อมายาไม่อาจคาดคะเนได้เลยว่า ‘ธุระ’ ของเขาหมายความอย่างไร แต่จังหวะนี้ได้อาบน้ำเสียหน่อยก็คงดี


ชาวีไม่อยากให้ค่าคำพูดของเขมราช แต่วันนี้เขาเองก็สงสัยว่าอมายากำลังปิดบังเขา เรื่องที่ว่าหญิงสาวอยู่ในเพนต์เฮาส์ของอดีตเพื่อนสนิทก็เข้ามาก่อกวนหัวใจ

เขาอยากเชื่อใจอมายาโดยไม่มีข้อกังขา ถึงได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองที่นี่ ตอนได้เห็นกระเป๋ากับเสื้อผ้าของเธอที่เขมราชโยนมาให้ ใจเขาแหว่งไปครึ่งดวง

กระนั้นยังไม่ปักใจ จนกว่าจะได้เห็นว่าที่เจ้าสาวตัวเป็น ๆ ด้านเขมราชนั่งเอกเขนกจิบไวน์สบายอารมณ์พลางเหลือบตามองชาวีเชิงเหยียดหยาม

“ถึงขั้นนี้แล้ว มึงยังใจเย็นอยู่ได้ โคตรนับถือใจมึงเลยว่ะ”

ใจเย็นงั้นหรือ...

ชาวีไม่ได้ใจเย็นเลยนักนิด ในใจเขาเดือดปุด ๆ คล้ายลาวาร้อนที่ใกล้ปะทุเต็มที ยิ่งได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำที่เขมราชบอกว่าอมายากำลังชำระคราบคาวที่หลงเหลือจากศึกรักกับมัน เขายิ่งอยากจะทุบทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

แต่เขาทำได้เพียงแค่รอ...

ทว่าหากเขาไม่ระบายโทสะออกไปบ้าง เขาคงต้องอกแตกตาย

“มึงจะเอาใช่ไหมไอ้เฟลม”

เขมราชหัวเราะร่วน วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะแก้วแล้วยืดตัวลุกขึ้น ด้านชาวีเองก็สาวเท้าเข้าหา สายตาจ้องกันอย่างดุดัน คงได้แลกหมัดกันไปแล้วหากประตูห้องนอนชั้นล่างไม่เปิดออกเสียก่อน

ชาวีหันไปยังต้นตอ ชาไปทั้งตัวเมื่อประจักษ์ใจแล้วว่าใช่ว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง เสียงที่คำรามร้องอยู่ในใจมีแต่คำว่า ‘ผู้หญิงไม่รักดี’

“พะ... พี่แชมป์”

อมายาแทบไม่อยากเชื่อสายตา นี่หรือเรื่องประหลาดใจที่เขมราชเตรียมไว้ เธอเสมองเขาก็พบแต่รอยยิ้มสาแก่ใจ

ตั้งแต่เกิดมาเธอก็เพิ่งเคยพบคนที่เลือดเย็นเท่าเขา

คิดจะตัดหนทางกันทุกทางเลยหรือไร...

“ออยอธิบายได้นะคะ”

ชาวีกำหมัดแน่น จ้องหญิงสาวด้วยแววตาเจ็บปวด เธอสวมเสื้อผ้าเจ้าของห้องอยู่ แถมตามต้นคอหรือแม้กระทั่งแขนขาก็มีร่องรอยของเขมราชเต็มไปหมด ไม่อยากนึกว่ารอยใต้ร่มผ้าจะเยอะขนาดไหน

“ออยไม่ได้มีอะไรกับเขานะคะ เขาแค่ช่วยออยมาจากท่านนิกร แต่ออยไม่รู้ว่าเขาจะพาออยมาที่นี่...”

อมายาหลุบสายตาลงต่ำ เป็นอีกครั้งที่ปล่อยให้น้ำตาร่วงหยดเพราะจนปัญญา เธอเลือกที่จะโกหกเขาไปแล้วเมื่อต้นคืน ตอนนี้ยิ่งพูดมันก็ยิ่งเหมือนแก้ตัว...

แต่หญิงสาวไม่ทันได้เห็นแววตาหวั่นไหวของเขมราช ก็เพราะท่าทางเศร้า ๆ นั่น ไหนจะน้ำตาที่ไหลหยดเปียกเสื้อบอลของเขา

แต่นี่คือสิ่งที่เขาต้องการที่สุดไม่ใช่หรือ...

การได้เห็นอมายาเจ็บปวดแทบขาดใจ

“ถ้ามึงเชื่อ มึงก็โง่แล้วไอ้แชมป์” เขาปราดเข้าไปกระชากแขนเรียวของอมายาชี้ให้ชาวีดูรอยเหล่านั้น “มึงเห็นใช่ไหม ไม่ได้ตาบอดนะ?”

“...”

ความโกรธทำให้ชาวีรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นเหวดำทมิฬ อมายาร่ำไห้ปานจะขาดใจ แววตาของชาวีบอกว่าเขาไม่เชื่อเธออีกต่อไป

“ผู้หญิงคนนี้อยากได้กู มันเลยฆ่าเมียกู แล้วมันก็เอาตัวมาประเคนให้กูถึงที่ มึงเห็นเต็มสองตามึงแล้วนี่ไง แล้วมึงยังจะโง่แต่งงานกับเธอ ปกป้องเธอ และช่วยเหลือเธออีกเหรอ? สิ่งที่มึงควรทำคือหยุดช่วยเหลือเธอได้แล้ว แล้วปล่อยให้เธอรับชะตากรรมของตัวเอง”

“หยุดพูดไปเลย คุณรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป ละอายใจบ้างเถอะ ไอ้คนชั่ว ไอ้เฮงซวย” อมายาไม่อาจทนต่อคำป้ายสี สองมือทุบตีต้นแขนไอ้ผู้ชายใจชั่ว ทั้งร้องไห้ฟูมฟายอย่างคนบ้า แต่เพราะเขมราชเขาบ้ากว่าเลยไม่สะท้าน และหน้าด้านหน้าทนโป้ปดต่อไป

“เมื่อกี้ตอนเอากันไม่เห็นเธอพูดแบบนี้เลยนะ บอกให้ฉันทำแรง ๆ ฉันขอแตกข้างในยังได้เลยไม่ใช่เหรอ”

กรี๊ดดด...

อมายากรี๊ดใส่หน้าเพราะอดรนทนไม่ไหว ทั้งตบทั้งจิกศีรษะเขา พลางส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน แต่พูดไปใครจะเชื่อ... ในสายตาทุกคนเธอเป็นแค่นังฆาตกรที่โกหกตอแหลไปวัน ๆ

“มึงคงสงสัยสินะ ว่าทำไมกูยังยอมเอาผู้หญิงแบบนี้”

“หยุดเถอะเฟลม ฉันขอร้อง”

คำอ้อนวอนไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งที่จะทำให้เธอหลุดพ้นคงเป็นความตาย อมายาอยากย้อนเวลากลับไปตอนหัวค่ำ เธอจะเลือกไม่ขึ้นรถมากับเขา หรือหากได้มากกว่านั้น... จะย้อนกลับไปในตอนที่เธอสามารถเลือกได้ว่าจะลงใจกับผู้ชายคนนี้หรืออีกคนที่ดีกับเธออย่างชาวี

“ก็เพราะของฟรี ไม่มีใครที่ไหนไม่อยากเอา ขนาดมึงที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นของเหลือเดนจากกู มึงยังรอต่อเลยไม่ใช่เหรอ”

ท้ายประโยคเขมราชก้มมองเธอพลางแสยะยิ้มร้ายกาจ เท่ากับเขาเสียสมาธิจดจ้องชาวีไป ยังไม่ทันจบประโยคอมายาก็เห็นชาวีกระโดดโหยงเข้ามาพร้อมขวดไวน์ในมือ

เพล้ง!

ศีรษะของเขมราชสะบัดตามแรงฟาด ของเหลวในขวดรวมถึงเศษแก้วกระจายเต็มห้อง มือหนาปล่อยแขนอมายาโดยอัตโนมัติ ก่อนจะถูกชาวีกระแทกหมัดเข้าเต็มกรามซ้าย แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้สาวหมัดต่อไป เขมราชก็สวนกลับด้วยท่าเสยปลายคาง

ชาวีแทบหงาย แต่ยังไม่ยอมเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้าม เขายันเท้าเข้ากลางหน้าเขมราชเพื่อเปิดระยะห่าง กำหมัดขวาซัดหน้าตามไปอีก แต่เขมราชก็แกร่งพอที่จะยืนหยัดแล้วอัดกลับเช่นกัน

ทั้งคู่ชั้นเชิงพอ ๆ กัน ไม่ว่าจะความเร็ว ความแรง สมกับเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย

อมายาอยากจะเข้าห้าม แต่เธออาจโดนลูกหลงได้ แถมจะหนีก็ไม่รู้จะไปอย่างไร จะลงลิฟต์ได้ก็ต้องใช้คีย์การ์ดจากเจ้าของห้อง

ระหว่างที่สองหนุ่มโรมรันพันตู อมายาเลยค่อย ๆ ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนล้า รู้สึกว่ารอบกายเงียบงัน มีเพียงเธอ... กับความเจ็บช้ำและผิดหวังพ่ายแพ้

ถ้าเธอหายไปจากตรงนี้จะเจ็บน้อยลงไหมนะ... เธอคงไม่อาจทำเช่นนั้น เพราะยังมีย่าให้คอยดูแล ยังมีความจริงที่รอให้เธอพิสูจน์

เธอไม่อยากยอมแพ้... แต่เธอไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้ว

เธอเหนื่อย... จนแทบไม่อยากหายใจ

“พอ”

หลังพวกเขาต่อยสลับพักยกอยู่สามสี่ยก เขมราชก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นในขณะที่ต่างคนต่างคลานหนีไปตั้งหลักคนละทาง

“มึงเอาผู้หญิงของมึงกลับไป แล้วทบทวนสิ่งที่กูพูดดี ๆ ว่ามึงจะแต่งงานกับคนแบบนี้อยู่ไหม นี่คีย์การ์ด”

เขาหยิบมันจากกระเป๋าเสื้อออกมาโยนให้อดีตเพื่อนสนิท ก่อนคลานไปดึงทิชชูมาซับเลือดตามใบหน้าและศีรษะที่แตกยับ

‘คนแบบนี้’ ค่อย ๆ ขยับเข้าหาคู่หมั้นด้วยใจแสนช้ำที่มันตอกย้ำว่าเธอ ‘ไม่เหลืออะไรดี’ ก่อนเอ่ยถามชาวีเสียงเบา หากมันทำให้เขมราชรู้สึกขัดใจเป็นบ้า

“เจ็บมากไหมคะพี่แชมป์”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ชาวีดันกายให้ลุกขึ้นโดยมีอมายาช่วยประคอง แล้วก้มลงหยิบคีย์การ์ดสีเงินขึ้นจากพื้น ก่อนถ่มเลือดลงใกล้กับที่เพื่อนเก่านั่งอยู่

ตามปกติคงได้วางมวยกันอีกยก หากคราวนี้ต่างฝ่ายต่างไม่ไหว สภาพของชาวีก็ไม่ได้ต่างจากเขมราชเท่าไหร่เลย

“กลับกันค่ะน้องออย”

แม้ร่างกายจะสะบักสะบอม แต่คุณหมอหนุ่มก็ยังมีแรงพอจะฉวยมือคู่หมั้นเดินถมึงทึงไปที่ประตู เขมราชมองตามทั้งสองอยู่เพียงครู่แล้วล้มตัวลงนอนแอ้งแม้งกับพื้นพรม

ไอ้ชาวีมือหนักตีนหนักเป็นบ้า คิดว่าเขาคงได้เย็บแผลที่ศีรษะไม่ต่ำกว่าห้าเข็ม แต่เขมราชก็ถึงกับเบิกตาโพลง เมื่อนึกได้ว่าลืมแม่ยายไว้ที่โรงพยาบาล

ฉิบหาย!

8

ซ่อนหาย

ด้านอมายาก็รู้สึกได้ว่าคู่หมั้นไม่พอใจในตัวเธอแค่ไหน ระหว่างลงลิฟต์ไปด้วยกันไม่มีใครพูดอะไร เธอไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ส่วนชาวี... เขายังไม่อยากคุย เพียงแต่มือที่กำรอบข้อมือเธออยู่นั้นบีบแรงทุกขณะ

“พี่แชมป์คะ ปล่อยออยก่อนได้ไหมคะ ออยเจ็บ”

“เหรอคะ”

เขาแค่รับรู้... แค่นั้น แต่ไม่ยอมผ่อนแรง อมายาจึงยั้งขาตัวเองสุดแรงขณะที่เขาลากออกจากลิฟต์ไปยังลานจอดรถสำหรับแขก

“อยากอยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ?”

ชาวีถามเสียงอู้อี้ เพราะแผลที่ปากกับหน้าเริ่มบวม จนตอนนี้ใบหน้าบิดเบี้ยว

อมายาใจสั่น อยากร้องไห้ออกมาอีกคำรบเพราะท่าทีแข็งกร้าวของชาวี วันนี้เธอเจอศึกทุกทางยังต้องมารับมือกับความไม่แน่นอนของอารมณ์เขาอีก...

ถ้าเขาไม่ฟังเหตุผลกันอยู่แบบนี้ละก็ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะไหว...

“พี่แชมป์ ออยรู้ว่าพี่ไม่พอใจ แต่ออยอธิบายได้ ถ้าพี่ไม่คิดว่ามันเป็นการแก้ตัว... หรือจะเอาออยไปตรวจภายในตอนนี้ก็ได้ถ้าพี่ไม่เชื่อว่าออยไม่ได้นอนกับเขา”

คำพูดแสดงความบริสุทธิ์ใจของว่าที่เจ้าสาวทำให้ชาวีฉุกคิด มือใหญ่คลายแรงจากข้อมือเล็กแต่ยังไม่ยอมปล่อย เธอเห็นว่าเขาเย็นลงแล้วจึงเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมด และยอมรับว่าโกหกเขาจริง ก็เพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ ทั้งยังเล่าว่าเขมราชทำอะไรกับเธอบ้างตอนอยู่บนห้อง

“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่ออยเล่าไป ออยไม่ได้นอนกับเขาหลังจากที่ออยรับแหวนของพี่แชมป์”

เขาจ้องใบหน้าอ่อนล้าที่ได้แสงสว่างจากดวงไฟหน้าอาคารช่วยเข้มขึ้นอย่างชั่งใจ

อยากเชื่อเธอหมดใจแต่เพราะรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับเขมราชจึงเหลือบางส่วนไว้... บางส่วนที่ยังคงคลางแคลงสงสัยว่าหญิงสาวอยากกลับไปรักกับเขมราชจริง ๆ

แต่ไม่น่าใช่แรงจูงใจให้น้องฆ่าคน อมายาไม่เหี้ยมพอจะฆ่าใครได้ เขารู้จักน้องมาตั้งแต่เกิด... รู้จักก่อนเขมราชเกือบยี่สิบปี ถ้าเขาเป็นบ้าเป็นหลังเพราะเรื่องแค่นี้ ก็คงเข้าทางมันเสียแล้ว

เขาจะไม่ยอมแพ้ให้มันอีกเป็นครั้งที่สอง...

“พี่จะยอมเชื่อน้องออยอีกสักครั้ง”

เขาว่าด้วยเสียงจริงจัง แล้วจับไหล่เธอทั้งสองข้าง

“...แต่พี่จะไม่ใจดีอีกแล้วนะคะ ต่อไปนี้พี่จะไม่ให้น้องออยไปเจอผู้ชายคนไหนอีก ต่อให้พี่ต้องขังน้องออยไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันพี่ก็จะทำ”

เพราะเขารู้เต็มหัวใจว่าอมายารักคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ในเมื่อเขาห้ามคนอื่นไม่ให้มายุ่งกับเธอไม่ได้ เขาก็จะจัดการที่ต้นตอ... นั่นคือเธอ


ในสายตานักการเมืองเหลี่ยมจัดอย่างนิกร ลูกหลานนายทุนก็แค่เด็กอมมือที่พยายามจะสร้างบารมีให้ทัดเทียมพ่อแม่... เป็นเพียงลูกหมาหัดเดินเตาะแตะ แต่นับวันชักจะเหิมเกริม ทำเบ่งอำนาจบาตรใหญ่เพราะคิดว่าเงินของพวกมันซื้อได้ทุกอย่าง

และมันหนักพอจะกดหัวเขาได้เช่นกัน...

“ว่ายังไงครับ”

นิกรมองใบหน้ายับเยินของชาวี ที่เพิ่งขู่เขาว่าจะทำให้สภาพคล่องของพรรคการเมืองเขาติดขัด ถ้าไม่คืนทุกสิ่งที่เป็นของอมายาไป

ชาวีเองก็จ้องกลับไม่ยอมลง ต่อให้มันตรงหน้าเป็นใครมาจากไหน ถ้าสุดท้ายต้องพึ่งเงินของครอบครัวเขา มันก็ต้องยอมสยบแทบเท้าเขาอยู่ดี

นิกรทำมือให้ลูกน้องนำ ‘ของ’ ที่เด็กหนุ่มรุ่นลูกต้องการมาให้ คงเอาเรื่องที่ครอบครัวชาวีไม่ยอมรับอมายามาต่อรองไม่ได้ หากพ่อแม่ควบคุมชาวีได้จริง คงไม่ได้เห็นข่าวการแต่งงานโชว์หราหน้าสื่อ

เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา...

ชาวีตรวจสอบของจนเรียบร้อย แล้วจึงส่งกระเป๋าหนังสีดำให้เลขาที่มาด้วย ก่อนเสมองลูกน้องที่ยืนข้างหลังนักการเมืองกังฉิน พวกนั้นถือปืนไว้ที่หน้าท้อง ขณะยืนสงบ

“คราวหลังไม่ต้องกลัวผมถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมเป็นหมอ เก่งแต่เรื่องช่วยชีวิตคน แต่ถ้าจะให้ฆ่า... ต่อให้ให้ลูกน้องพกเอ็มสิบหก ก็หยุดผมไม่ได้ครับ”

ไฟโทสะลามเลียอยู่ในใจนิกร แต่เขาทำท่าราวกับไม่ใส่ใจ ‘คำเตือน’ อ้อม ๆ จากนายแพทย์หนุ่ม

“มันเป็นความเคยชินไปแล้วน่ะครับ ผมเป็นนักการเมือง คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนปฐพี จะโดนสอยจนร่วงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ระวังไว้ก่อนดีที่สุดครับ”

“ไม่มีใครอยากสอยใครหรอกครับ ถ้าไม่ล้ำเส้นกันก่อน”

เส้น... ที่ชาวีกำหนดไว้คือทั้งสิ่งของ และ ‘คน’ ที่อยู่ในปกครอง

คนอย่างเขาลองให้ได้รักใครแล้ว... เขาทำเพื่อคนคนนั้นได้ทุกอย่าง กลับกันถ้าเขาไม่รัก ต่อให้มาตายตรงหน้า เขาก็จะไม่ชายตามอง

เขาหวังว่าคนที่เขากำลังปกป้องอยู่จะเข้าใจถูกต้อง และสมบัติพวกนี้เขาจะคืนให้หลังจากอมายาจรดปากกาลงในทะเบียนสมรส เธอจะได้ไม่หนีเขาไปไหน

เพราะเมื่อรอให้รักมันยากนัก... ก็ไม่ต้องรอ

“คงจะอย่างนั้นแหละครับ” นิกรตอบรับ

พอเห็นสีหน้าปั้นยากของคนแก่กว่า มุมปากของชาวีก็กดยิ้มอย่างพอใจ ก่อนยืดกายลุกขึ้น จัดเสื้อผ้า แล้วเอ่ยต่อ

“หวังว่าท่านจะเข้าใจที่ผมพูดนะครับ อ้อ... ไม่ต้องส่งแขก” หันไปยกมือห้ามการ์ดเจ้าของบ้าน ก่อนเดินนำเลขาออกไปจากคฤหาสน์หลังมหึมา

รอยยิ้มนิกรเลือนหายเมื่อแผ่นหลังนายแพทย์หนุ่มลับหายไป กลายเป็นสีหน้าโกรธแค้นเคร่งเครียด ใจอยากกำจัดให้สิ้นซากแต่รู้ดีว่าทำไม่ได้ ลำพังเรื่องไอ้ขาลที่หายเข้ากลีบเมฆก็ทำเขาแทบบ้า ถ้าต้องมาฟาดฟันกับพวกนี้อีก คงกลายเป็นศึกรอบด้าน

นิกรนึกเสียดายที่ไม่ได้กำจัดขาลตั้งแต่แรก มัวแต่เอาไปต่อรองกับอมายาจนเสียเรื่อง เพราะมันกำความลับที่พิยดาคายไว้ทั้งหมด นับว่านังงูพิษมองการณ์ไกลที่ไม่คายให้ลูกสาวตัวเอง... เพื่อกันเด็กนั่นออกจากอันตรายทุกอย่าง

เขาคงต้องปล่อยอมายาไป... เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว ให้คิดเสียว่ายังมีผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ อีกมากมายที่พร้อมใจเป็นเมียลับของเขา


เขมราชแก้ตัวกับแม่ยายว่าเขาเกิดอุบัติเหตุระหว่างนำมือถือมาให้ท่าน คุณวาดรวียอมเชื่อ แต่รอยแตกร้าวระหว่างทั้งสองมันลึกเกินเยียวยา ท่านเอ่ยปากไม่ให้เขายุ่งกับบ้านท่าน รวมทั้งคดีของมีนรญา ส่งผลให้โทสะที่มีต่ออมายารุนแรงขึ้นทีละน้อย

เพราะหากไม่มีเธอสักคน... เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้นกับเขา

ชายหนุ่มคงได้ฟาดงวงฟาดงาใส่อมายาไปแล้ว แต่ระยะนี้เธอไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ คล้ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่เมืองหลวงกว้างแค่นี้

แต่เขา... กลับไม่พบเธอ

พาให้รู้สึกรุ่มร้อนในใจจนยากที่จะกลับเป็นปกติ รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปดูโพรไฟล์โซเชียลมีเดียของเธอเสียแล้ว

เขาถอนหายใจเฮือก...

อยากยอมรับแค่เพียงว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเกลียดอมายา จนกลัวว่าเธอจะหาทางดิ้นรนจนพ้นคุก แต่ไม่เลย... มีความลึกซึ้งแอบแฝงอยู่ในใจ

แต่เขาปัดหน้าจอนั้นทิ้งไปเมื่อเลขาหน้าห้องเข้ามาทวนนัดหมายตรวจสถานที่จัดงานและคาเฟต่าง ๆ ที่เขาต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงนัดของร้านเวดดิ้ง ซึ่งเก็บของใช้ของมีนรญาไว้แล้วต้องการส่งคืน

นั่นคือพระเครื่องหลวงปู่ทวดซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากฝั่งพ่อหล่อน ซึ่งหญิงสาวให้เขาไว้หนึ่งองค์ และเก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งองค์

‘มีแค่สององค์ในโลกนะคะ เพราะพระอาจารย์ที่คุณปู่มีนเลื่อมใสท่านทำให้คุณปู่กับคุณย่าไว้คุ้มภัย แล้วปู่ย่าก็เก็บไว้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลย’

‘เราสองคนก็จะทำแบบท่านค่ะ’

เขารวบหญิงสาวเข้ามากอด ก่อนก้มลงจุมพิตเรือนผมที่เย็นเยียบเพราะอากาศหนาวของมหานครนิวยอร์ก

‘สัญญากับมีนได้หรือเปล่าคะพี่เฟลม’

‘พี่สัญญาด้วยทั้งชีวิตเลยค่ะ’

ชั่วชีวิตเขาเคยลั่นวาจาสาบานกับผู้หญิงเพียงแค่สองคน

คนแรกคืออมายา... สาวน้อยที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกเจอ จึงเข้าใจได้หากเธอจะมองเขาเป็นคนปลิ้นปล้อน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่หญิงสาวทำกับเขา จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะรักษาสัญญา

ต่อมาคือมีนรญา... ผู้หญิงที่เป็นดั่งสายลมเอื่อยเย็นพัดพาหัวใจเขาให้ชุ่มฉ่ำ เขาลั่นวาจาไว้เป็นดั่งสัญญารัก เพราะอย่างนั้นพระเครื่ององค์นั้นถึงได้สำคัญกับเขามากกว่าสิ่งใด

จากการจัดการของเลขาสาว ถ้าเขาออกไปตอนนี้ เขาจะมีเวลาแวะสตูดิโอนั้นราวหนึ่งชั่วโมงไม่รวมเวลาเดินทาง ด้วยเป็นทางผ่านไปตรวจงานอยู่แล้ว


ฝนตกปรอย ๆ ยามที่เก๋งซีดานของเขมราชเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าเวดดิ้งสตูดิโอชื่อดัง มือหนาเปิดประตูแล้ววาดขายาวเรียวลงมา พลางมืออีกข้างก็กางร่มทันท่วงที ทุกอากัปกิริยาอยู่ในสายตาสาวงามซึ่งเฝ้ามองเขาผ่านกระจกขึ้นฝ้าด้วยแววตาหลงใหล

หล่อนเผลอจินตนาการไปไกลว่าได้ครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะยิ่งพิศมองทุกอย่างที่เป็นเขา ทั้งท่วงท่าการเดินที่ทำให้นึกถึงราชสีห์หนุ่ม แววตาทรงพลังที่หลอมละลายหัวใจได้เพียงเสี้ยวนาทีที่เผลอจ้อง ไหนจะร่างสูงชะลูดที่สมส่วนเสียยิ่งกว่านายแบบแมกกาซีน ยิ่งอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินทันสมัยที่หล่อนไม่คิดว่าจะมีใครทำให้มันสง่างามได้เท่าเขาอีกแล้ว ก็ยากนักที่หล่อนจะอยากแบ่งให้ใคร

“คุณเขมราชมาทำไมเหรอคะ”

‘เอมมาลิน’ หันไปถามพนักงานที่ช่วยจัดชุดให้หล่อนด้วยแววตาเปล่งประกาย แต่พอประโยคต่อไปที่หล่อนรู้ว่าต้องเศร้า ใบหน้าหวานก็ทำสลดลงได้อย่างแนบเนียน

“ก็เจ้าสาวของเขา เอ่อ... เพิ่งเสียไม่ใช่เหรอคะ”

“เห็นว่ามาเอาของที่ลืมไว้กับบอสน่ะค่ะ”

“งั้นช่วยเข็นเอมลงไปทักทายเขาหน่อยได้ไหมคะ”

พนักงานสาวเผลอมองเจ้าสาวแสนงามดั่งเทพธิดาด้วยแววตาสงสัย ท่าทางหล่อนดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวามากกว่าตอนอยู่กับเจ้าบ่าวตัวเองจนความเศร้าที่แสดงออกมาไม่สามารถกลบมิด

แต่ครู่เดียวพนักงานก็สลัดความคิดนั้นทิ้ง ก่อนจะพาหญิงสาวลงลิฟต์ไปพบเขมราชที่ชั้นหนึ่ง

“บังเอิญจังเลยนะคะพี่เฟลม”

เขมราชที่จะมุ่งหน้าไปออฟฟิศเจ้าของสตูดิโอกลับต้องชะงักแล้วหันไปตามเสียง

เอมมาลินบังคับรถเข็นออกมาจากลิฟต์ขนาดเล็ก ตรงเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าเป็นมิตร

หากในใจเขาคิดถึงแต่เรื่องที่หล่อนให้ความช่วยเหลืออมายา นั่นเท่ากับว่าเป็นฆาตกรเหมือนกัน

อีกอย่าง... ตอนที่เขายังคบกับอมายา เด็กสาวตรงหน้ายอมรับกับเขาตรง ๆ ว่าปลื้มเขาอย่างลึกซึ้ง สร้างความลำบากใจจนเชมราชไม่อยากไปที่บ้านแฟนสาว

“คราวหลังไม่บังเอิญดีกว่านะครับ”

ใบหน้ายิ้มแย้มเจื่อนลง น้ำใส ๆ คลอหน่วยตา ปากก็ตัดพ้อ

“ทำไมถึงเย็นชากับเอมนักล่ะคะ”

“ก็รู้กันอยู่ครับ ขอตัวนะครับ”

“เดี๋ยวสิคะพี่เฟลม”

เธอเรียกไว้ เขาถอนหายใจเฮือก ไม่พยายามเก็บความรำคาญเอาไว้อีกต่อไป

“เอมอยากบอกพี่ว่า ถึงแม้พี่สาวเอมเป็นฆาตกรฆ่าลูกเมียของพี่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเอมจะเลวร้ายตามพี่สาวซะหน่อยนะคะ พี่จะมองเอมเป็นน้องสาวเหมือนเดิมไม่ได้เลยเหรอคะ”

แววตาของเขาเป็นประกายวาววับ หล่อนกำลังพูดตอกย้ำให้เขา ‘เกลียด’ ผู้หญิงคนนั้น และรังเกียจทุกคนที่ช่วยเหลือเธอ เสียงที่พูดกับคนตรงหน้าจึงเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว

“มันสายไปแล้ว!”

เขาเดินจากไปไม่เสียเวลาสนทนา หญิงสาวหมายใจตามไป หากแต่เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นหูของว่าที่เจ้าบ่าวทำให้ต้องชะงัก

“หนูเอม”

พอหันไปก็เห็นร่างสูงโปร่งของ ‘ชาร์ลส์’ ยืนตรงทางเข้า เขาจ้องหล่อนด้วยแววตาคาดเดายาก หลายต่อหลายครั้งที่หล่อนไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่หล่อนมั่นใจคือเขารักหล่อนมากแค่ไหน

“พี่ชาร์ลส์ มานานแล้วเหรอคะ”

แพทย์นิติเวชหนุ่มตาสีฟ้าสาวเท้าเดินเข้ามา เขาเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนแรกของคุณหมอชลิต ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ทว่าภรรยาคนที่สองอย่างคุณแสงฉายก็รักเหมือนลูกในอุทร

ชาร์ลส์กับชาวีจึงถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ และเท่าเทียม จะมีเพียงเรื่องคู่ชีวิตเท่านั้นที่พวกท่านสอดมือเข้ามา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนใจลูกชาย

ชาวีดื้อแพ่งจนจะได้แต่งงานกับอมายา

ส่วนเขา... ผู้ชายตรงหน้า ก็ค้านพ่อแม่สุดกำลังจนอีกไม่นานจะได้ร่วมหอลงโรงกับหล่อนนั่นเอง

“นานพอที่จะเห็นความไม่น่ารักของหนูเอมค่ะ” ชายหนุ่มย่อกายลงนั่งชันเข่าหน้าวีลแชร์

“มันไม่มีอะไรเลยนะคะ”

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้วค่ะ”

ชาร์ลส์เอื้อมมือมาไล้ผิวแก้มเนียนใส รอยยิ้มพิมพ์ใจเปื้อนใบหน้าเขา แต่มันไปไม่ถึงดวงตา พาให้หล่อนเย็นสันหลังวาบ

“ถ้ามันมี ก็แสดงว่าหนูเอมคงไม่ใช่เด็กดีของพี่อีกแล้ว... แล้วก็รู้ใช่ไหมคะว่าพี่ไม่จำเป็นจะต้องเก็บความลับเพื่อปกป้องเด็กดื้อ” เขาเอ่ย

“พี่ชาร์ลส์สบายใจได้นะคะ เอมไม่ดื้อไม่ซนหรอก”

หญิงสาวข่มความกริ่งเกรงไว้ในใจพลางกุมมือที่ลูบผิวแก้มหล่อนอยู่ แล้วเอียงใบหน้าซบฝ่ามือนั้นช้า ๆ ไม่ใช่ความคิดที่ดีหากจะผลักไสคนอันตรายอย่างนี้ออกห่างตัว หล่อนต้องเก็บเขาไว้ใกล้ ๆ ถึงแม้จะไม่ได้รัก... เพราะทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อตัวเอง และเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว


อมายาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักส่วนตัวของชาวีมาหลายสัปดาห์แล้ว อันที่จริงเธอไม่ได้สมัครใจ ถ้าเลือกได้ ไม่สิ... ถ้าปลอดภัย เธอคงไปอยู่ที่ไหนสักที่ที่ไม่มีใครรู้จัก

ตอนนี้ชาวีหาทนายคนใหม่ได้แล้ว ส่วนเรื่องงานแต่งก็คืบหน้าไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ พ่อแม่เขาไม่เข้ามาก้าวก่าย ส่วนเธอมีหน้าที่แค่ลองชุดเจ้าสาว เพราะนายแพทย์หนุ่มไม่ให้ก้าวออกจากบ้านเว้นแต่จะไปเยี่ยมย่า ซึ่งต้องมีเขาไปด้วย

ที่บ้านนี้มีคนเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้ไม่ใช่นักโทษแต่ก็เหมือนใช่... อมายาแค่ยังไม่ได้ถูกตีตรวนก็เท่านั้น

อมายาทั้งเครียดและกดดันที่ต้องอยู่ในสายตาเขาทุกฝีก้าว ในขณะที่ปาหี่ฉากใหญ่ของเขมราชทำให้ชาวีเย็นชาราวกับเจ้าชายน้ำแข็ง

หลายครั้งเธอนึกสงสัย ที่ชาวีบอกว่ารัก มีความจริงอยู่แค่ไหน จนตอนนี้เธอเพิ่งรู้ว่าน้อยนิด...

ที่เขาทำเพื่อเธอมาตลอดอมายาก็ใช่จะมองข้าม เธอรู้สึกได้ว่าสำหรับชาวี เธออยู่ในสถานะพิเศษกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดจะเรียกว่าความรัก

เพราะหากเธอสัมผัสถึงมันได้จริง ๆ มีหรือจะไม่ยอมเปิดใจ

แต่ชาวีเห็นเธอเป็นแค่เครื่องมือที่เขาต้องครอบครองให้ได้ เพื่อบรรลุจุดหมายที่เขาไม่เคยเอื้อมถึง เพื่อเหยียบหน้าเพื่อนเก่าของเขา... เหยียบหัวใจของเธอ ส่วนอมายาก็แค่ต้องการที่หลบภัย

เธอกับเขาเพียงได้ประโยชน์ร่วมกัน

มันทำให้หญิงสาวจำต้องยอมรับสภาพน่าสมเพชเพราะไร้ที่พึ่ง

“อุแหวะ...”

การตื่นมาพร้อมอาการปวดหัวเหมือนจะระเบิดแถมอาเจียนหนักในทุกเช้ากลายเป็นเรื่องปกติที่คนของชาวีต้องเจอ เช่นเดียวกับความไม่อยากอาหารแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เราตามคุณหมอกลับมาดูอาการคุณนายดีไหมคะ”

ป้าสาย แม่บ้านที่ได้รับมอบหมายให้ปรนนิบัติอมายาเอ่ยขณะที่ช่วยประคอง ‘คุณนาย’ ออกมาจากห้องน้ำ

อมายาส่ายหน้า เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่อาการปกติเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด

“รอเขากลับมาดีกว่าค่ะ ออยเป็นแบบนี้บ่อย แต่ป้าช่วยอยู่นวดตัวให้ออยก่อนได้ไหมคะ มันชา ๆ ยังไงไม่รู้”

ป้าสายไม่ขัดใจ นางนวดเก่งจนเธอเผลอหลับทั้งที่ยังไม่ได้รับประทานอะไร มารู้สึกตัวก็ตอนชาวีเข้ามาสะกิด แต่ภาพที่เห็นในเสี้ยววินาทีคือผู้ชายคนนั้น

เขมราช...

หญิงสาวกระถดตัวหนีอย่างหวาดกลัว ก่อนจะได้ยินเขาเรียก ‘น้องออย’ ซึ่งไม่ใช่เสียงเขมราช เธอเพียงแค่ตาฝาด

“น้องออยฝันร้ายเหรอคะ” ชาวีฉวยมือบางมารวบไว้ จ้องเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อย หญิงสาวพยักหน้ารับ ในฝันเธอรู้สึกเหมือนผู้ชายคนนั้นนั่งจ้องตลอดเวลา

เขมราชฝังความหวาดกลัวลงในใจเธอเสียแล้ว... ทุกครั้งที่นึกถึงเขาหญิงสาวมักรู้สึกอึดอัด และหวาดหวั่นจนหายใจไม่ทั่วท้อง

“กลับมานานแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง”

“เพิ่งกลับค่ะ แต่ยังไม่ได้ทานอะไร เลยจะมาปลุกน้องออยไปทานด้วยกัน”

“ออยยังไม่หิวเลยค่ะ”

เธอส่ายหน้ายิ้ม ๆ แต่เพราะท่าทีอ่อนลงของพี่ชายคนนี้พาน้ำตาเธอเอ่อคลอ

“น้องออยต้องทานนะคะ” เขาลูบเรือนผมสลวยที่ไม่เคยอยากให้ชายใดแตะต้อง แล้วเอ่ยต่อ “ต่อจากนี้น้องออยต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะน้องออยอาจจะเป็นความหวังเดียวที่คุณย่ามีอยู่”

“ว่าไงนะคะ”

“พี่กับหมอคนอื่น ๆ ทดสอบเนื้อเยื่อคุณย่าอีกครั้ง พวกเรามั่นใจว่าท่านรอไตจากโดเนอร์ในระบบไม่ไหวแน่นอนค่ะ”

มันไม่ทัน... อมายาไม่อาจห้ามน้ำตาให้รินไหล มันออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ที่บรรจุความเศร้าไว้เต็มอัตรา

อมายาหวนคิดถึงความยากลำบากในชีวิตของย่า ท่านเลี้ยงพ่อเธอมาโดยลำพัง ปากกัดตีนถีบชนิดที่ต้องอดมื้อกินมื้อ กระนั้นยังส่งเสียพ่อให้เรียนจบสูง ๆ ได้

ท่านเพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้ตอนที่พ่อได้ดีในหน้าที่การงาน แต่ไม่นานก็พบว่าตัวเองป่วยโรคเรื้อรังขั้นรุนแรง ทั้งยังมีโรคแทรกซ้อนจนต้องใช้ชีวิตอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

แรกทีเดียว... เงินทุกบาทที่เป็นค่ารักษาพ่อเป็นคนจ่ายให้ หากตอนนี้พ่อกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เงินเก็บก้อนสุดท้ายของย่าจึงแทบไม่เหลืออยู่แล้ว

แล้วนี่... แค่ชีวิตยืนยาวก็จะไม่เหลือให้ท่านอีกงั้นหรือ

น้ำตาของเธอไหลริน หยดแล้วหยดเล่า สังเวยความรู้สึกมืดมนไร้หนทาง แต่ใจมันยังยืนยัน...​ เธอจะไม่ยอมเสียย่าไปอีกคน

ชาวีรวบเธอเข้ามากอด ระบายลมหายใจหนักอยู่เหนือศีรษะ ไม่อาจทำเย็นชากับเธอได้อีกแล้วเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอกำลังพบเจอ

“เรายังมีทางค่ะ แค่ต้องหาโดเนอร์ที่มีชีวิต”

อมายาสะอื้นซบอกเขา ที่แม้จะไม่ได้อุ่นจนใจคลายหนาว แต่ก็เป็นที่จับยึดเพียงหลักเดียวที่เธอมี

ทีแรก... เธอตื่นตูมไม่ได้เรียบเรียงคำพูดเขาให้เข้าใจ แต่ตอนนี้ประกายความหวังเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในใจ

เธอพอจะรู้กระบวนการอยู่บ้าง ด้วยเริ่มศึกษาตั้งแต่รู้ว่าย่าป่วยไตเรื้อรัง ว่าไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิตต้องมาจากญาติสายเลือดใกล้ชิด ที่เนื้อเยื่อเข้ากันได้ เธอจึงอาจเป็นความหวังที่เหลืออยู่ของท่าน

หรืออาจจะเป็นพ่อ

เป็นเอมมาลิน

หรือเป็นญาติคนไหนก็ได้...

หากอมายาภาวนาให้เป็นตัวเอง เพราะเธอจะไม่เสียเวลาแม้สักวินาทีเพื่อลงชื่อในเอกสารยินยอม


หญิงสาวยอมออกมารับประทานอาหารค่ำ แม้ไม่หิวแต่ต้องฝืนใจ หากน้ำตาก็รินไหลไม่ขาดสาย เมื่อใจเกิดคำถามที่พานให้น้อยใจในโชคชะตา

ทำไมกันนะ... เรื่องร้าย ๆ ถึงได้เกิดกับเธอไม่จบไม่สิ้น

“เช็ดน้ำตาเสียหน่อยนะคะ”

ชาวีเอื้อมมาใช้ทิชชูซับแก้มให้เธอ นั่นแหละหญิงสาวถึงได้รู้ตัว ว่าทำให้อีกฝ่ายทานอะไรไม่ลง เลยรีบปาดน้ำตาจนหมด

“ขอโทษค่ะ”

บอกแล้วก็ฝืนยิ้มให้ ทุกอย่างอยู่ในสายตาป้าสาย หล่อนสงสารว่าที่ ‘คุณนาย’ จับใจแต่หล่อนช่วยอะไรไม่ได้เลย

จบมื้ออาหาร อมายาขอตัวเข้าไปพักผ่อนในห้องส่วนตัว ถึงเธอจะจำใจอยู่บ้านเดียวกับคู่หมั้น แต่ไม่เคยยอมให้เขาล่วงเกิน แต่ร่างกายกลับโงนเงนจะล้ม ด้วยจู่ ๆ แข้งขาเกิดไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าตกใจ ยังดีที่ชาวีเข้ามารับไว้

สัญชาตญาณแพทย์บอกว่าอมายามีบางอย่างผิดปกติ เขาคงต้องเปิดตำราแพทย์สักหน่อยถึงจะสามารถบอกได้

“ให้พี่อุ้มไปเถอะนะคะ”

เธอพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ไม่คิดว่าภายหลังจากที่เขาวางเธอลงบนเตียง ชายหนุ่มจะพยายามขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ สายตาสองคู่ประสานกัน เขาตั้งใจ... แต่เธอไม่

ดวงตาเขาฉายความปรารถนาแรงกล้า มือที่สากเล็กน้อยผิดกับศัลยแพทย์ทั่วไป เนื่องเพราะชอบต่อยตีตั้งแต่เด็กจับปลายคางเธอเบา ๆ

ทำไมเขาจะไม่รู้สึกถึงแรงขัดขืนจากคนที่เอนกายหนี...

แต่อยากรู้ว่าเขาดีกับเธอขนาดนี้ อมายาจะปฏิเสธเขาได้ลงคอจริงหรือ เพราะไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะเป็นได้อย่างเขา... ยิ่งกับคนที่เธอรัก ก็ยิ่งไม่มีทาง

ฉะนั้นเขาเป็นคนเดียวที่จะให้ไออุ่นเธอได้และเป็นคนเดียวที่เหลือให้เธอพึ่งพิง คงไม่ยากถ้าจะตอบแทนกันในแบบที่เขาต้องการ

ทว่าหญิงสาวหันหน้าหลบในจังหวะที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ ยืนยันคำตอบที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจว่า ‘ไม่มีทาง’

“อย่าเลยค่ะพี่แชมป์”

“น้องออยยังคิดถึงมันอยู่ใช่ไหมคะ”

“อย่าเอาเขามาเกี่ยวเลยค่ะ”

“มันต้องเกี่ยวสิคะ”

“พี่แชมป์คะ...” หญิงสาวครวญชื่อเขาอย่างอ่อนใจ ที่พูดไปใช่ว่าปกป้องเขมราช แต่เพราะชาวีกำลังฉวยโอกาสยามเธออ่อนแอ ที่สำคัญเธอไม่พร้อม

นายแพทย์หนุ่มขบกรามจนฟันแทบแตก แต่รู้ดี หากเค้นเอาคำตอบจนได้ เขาเองจะเป็นฝ่ายที่เจ็บ... เท่านี้ก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว มือใหญ่เลื่อนตกจากปลายคางสวยแล้วกำแน่นอย่างคับแค้นใจ

กับไอ้นั่นที่มันทำเลวกับเธอสารพัด อมายากลับยอมพลีกายถวายตัว คงไม่ขัดขืนด้วยซ้ำ แต่กับเขา... คนที่ทำดีแทบตายสุดท้ายก็เป็นได้แค่พี่ชาย ซึ่งเขาไม่อยากเป็น

ชาวีเดินออกไปจากห้องท่าทางไม่พอใจ ก่อนที่ข้างนอกจะเกิดเสียงทุบทำลายข้าวของ เสียงจานชามแตกกระจาย เสียงร้องห้ามของป้าสายและเสียงคำรามร้องอย่างเจ็บปวดของเขาเอง...

เขาให้เกียรติเธอ... รอคอยเธออย่างมีความหวังมาตลอดหลายปี แต่เมื่อมันกลายเป็นสิ่งไร้ค่า แค่ทำให้เธอรักก็ไม่ได้ คงไม่จำเป็นต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้อีกต่อไป

ด้านอมายาได้แต่ยกมือปิดหูแล้วปล่อยน้ำตาไหล เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นความบ้าคลั่งของเขาอย่างนี้ ไม่รู้วันข้างหน้าเขาจะบ้าอีกแค่ไหน นับว่าเขาก็สร้างความหวาดหวั่นกริ่งเกรงให้เธอไม่น้อยเลย

หากก็พยายามเข้าใจ คนเราหว่านพืชย่อมหวังผล เหมือนที่ชาวีหวังในตัวเธอ แต่พอคนแบบเขาไม่ได้ครอบครองอย่างใจต้องการ ก็ยากที่จะจัดการความผิดหวัง

เธอเองก็พยายามตอบแทนความรู้สึกเขาเต็มที่ หวังว่าสักวันจะทำใจยอมเป็นของเขาได้ แม้จะเพียงร่างกาย เพราะตอนนั้นหัวใจคงตายด้านไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่วายต้องพบกับความผิดหวัง


“คืนนี้น้องออยใส่ชุดนี้นะคะ”

ชาวีเตรียมค็อกเทลเดรสแบบเกาะอกสีชมพูหวาน ซึ่งไม่ใช่สไตล์ของเธอ แต่ดูแล้วคล้ายชุดเจ้าหญิงและเข้าคู่กับชุดของเขามาให้

อมายามองท่าทีหมางเมินแล้วเผลอเม้มปากอย่างอึดอัด เพราะแม้ว่าเขาไม่พูดถึงเรื่องค่ำนั้นอีก หากโทสะยังคงคุกรุ่น เธอก็ใช่จะสบายใจ ด้วยทบทวนแล้วก็เห็นแต่ความเอาแต่ใจของตัวเอง แต่เธอสัมผัสได้ว่าเขาเปลี่ยนไป

แววตาอบอุ่นที่เคยมองเธอกลับแข็งกระด้าง ความเย็นชาที่แม้ไม่แสดงออกมาแต่ก็ปิดไม่มิด

มันผิดที่เธอเอง...

“มีงานอะไรเหรอคะ”

“bachelor party ค่ะ”

เธอไม่รู้มาก่อนว่าจะมีปาร์ตี้สละโสด ไม่รู้แม้กระทั่งกำหนดการในวันแต่งงานในอีกสามวันข้างหน้า แต่อมายาก็ยอมแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยสมกับเขามากที่สุด ก่อนจะถูกพาออกจากบ้านไป

ปาร์ตี้จัดขึ้นที่คลับดังซึ่งแม่เธอเคยบริหาร ทว่าตอนนี้... ตกมาอยู่ในมือของชาวีด้วยเหตุผลที่ว่าเขาขอซื้อมาจากนิกร

ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ...

แล้วเรื่องทรัพย์สินที่แม่เธอทิ้งไว้ให้ ทำไมนิกรถึงยังไม่ยอมคืนให้ง่าย ๆ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับงานนี้ชาวีตั้งใจให้เหมือนงานของเขมราชกับมีนรญา ไม่แน่ใจว่าทุกกระเบียดนิ้วไหม แต่ดูด้วยตาเปล่าแล้วใช่ ทั้งเขายังฉกจูบเธอต่อหน้าคนทั้งงาน

กระนั้นก็พยายามทำใจให้ชิน... เธอเรียนรู้แล้วว่าการปฏิเสธชาวีไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำ แค่นึกถึงวันที่เขาผิดหวังจนทำลายบ้านเกือบราบเป็นหน้ากลอง แถมมือยังเป็นแผลหลายจุด ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้

อีกอย่าง... วันข้างหน้าก็คงต้องทำมากกว่านี้ อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปของคู่รัก อมายาจึงเผยอปากรับลิ้นอุ่นร้อนของเขาเข้ามา ตอบแทนเขาด้วยความมั่นใจว่าเธอ... จะกลายเป็นของเขาในเร็ววันนี้ เพราะทุกสิ่งที่ชาวีทำให้กัน มันชัดเจนพอที่เธอจะยอมให้เงาดำทมิฬในมุมมืดของหัวใจได้จางหายไป

“ไม่เคยมีจูบของใครหวานเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ”

ชาวีกระซิบเสียงหวาน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าเพื่อน จูบนี้ทำลายความเย็นชาห่างเหินในใจเขาจนมลายสิ้น ด้านอมายาฝืนยิ้มรับ บอกตัวเองว่าจูบของเขาก็จะหวานที่สุดในชีวิตเธอได้ในสักวัน

“เรื่องวันก่อน ออยขอโทษนะคะ”

ลมหายใจของเขาสะดุดลงเล็กน้อย พร้อมสีหน้าที่เข้มขึ้น แต่ครู่เดียวก็กลับมายิ้มแย้ม แต่เป็นยิ้มที่น่ากลัวพิลึก

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจว่าน้องออยเหนื่อย อีกอย่าง... คงไม่ง่ายที่เราจะลืมคนในใจ พี่เลยจัดงานแบบนี้ขึ้นมา”

“...”

“จะได้เตือนความจำว่ามันเกลียดน้องออยมากแค่ไหน แล้วมันจะเกลียดมากขึ้นอีกหลังจากที่มันเห็นงานนี้ หรือแค่ฟังจากเพื่อน ๆ ของเรา... เพราะไหน ๆ ก็เกลียดกันอยู่แล้ว ก็เกลียดกันไปให้สุดค่ะ ยิ่งไม่เหลือเยื่อใยต่อกันได้ยิ่งดี”

อมายาจ้องเขาผ่านไอน้ำตา ที่มันเกิดจากได้รู้ว่าชาวีทำทั้งหมดนี้เพื่อ ‘ลงโทษ’ คนสิ้นคิดอย่างเธอ

ลงโทษด้วยการโหมไฟแค้นในใจของผู้ชายคนนั้น... ด้วยการทำให้รู้ว่ายิ่งไม่มีชาวีต่อจากนี้ ชีวิตเธอก็ยิ่งไม่ปลอดภัย

แต่อมายาคิดว่าทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ และเธอก็กำลังต้องรับผลของการไม่ให้เกียรติคนที่รักเธอโดยดุษณี

“แต่น้องออยไม่ต้องกลัวไอ้เฟลมมันหรอกนะคะ เพราะผู้หญิงคนเดียวพี่ดูแลได้อยู่แล้วค่ะ แล้วพี่ก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อน้องออยด้วย... เว้นแต่ว่าน้องออยจะไม่รักดี”

เขากระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วจับปลายคางเธอให้อยู่นิ่งตอนก้มจุมพิตเป็นหนที่สอง คราวนี้อมายาหลับตาพริ้ม ‘ยอมรับ’ ทุกอย่างทั้งน้ำตาที่รินไหล

บทก่อนหน้า
บทถัดไป