บทที่ 1 Intro [1]

อาคารจิราพิพัฒน์เกียรติ

ชั้น 6

ตึกตัก!

ตึกตัก!

ตึกตัก!

เสียงฝีเท้าหนักแน่นของผมกระทบลงกับพื้นหินอ่อนอย่างต่อเนื่องเพราะความเร่งรีบ เมื่อเช้าวันใหม่ที่ควรจะสดใสของผมกำลังจะกลายเป็นเช้าอันน่าเศร้าสลด เหตุผลก็เพราะว่าผมเหมือนจะเข้าเรียนไม่ทันเพราะตื่นสายทั้งที่วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้อย่างดี แต่เผลอตื่นขึ้นมาเลื่อนแล้วเลื่อนอีกด้วยความเคยตัว รู้ตัวอีกทีก็ไฟล้นก้นเสียแล้ว

ตายห่า ผมว่าไม่เหมือนสายหรอก งานนี้ผมต้องสายแน่ๆ เพราะตอนนี้เกือบจะเก้าโมงแล้วผมยังไม่ถึงห้องเรียนเลย

ตึง!

และเสียงที่ตามมาก็คือเสียงจากฝ่ามือของผมเอง ตกใจทำไม ผมก็แค่ผลักประตูเข้าไปในห้องเรียน

“คุณคิมหันต์”

“มาครับ” ผมรีบยกมือขึ้นแล้วขานรับเสียงดังเมื่ออาจารย์ขานชื่อผมเพื่อเช็กชื่อพอดี

อาจารย์หันมามองผมด้วยหางตานิดหน่อยก่อนจะส่ายหัวไปมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมส่งยิ้ม เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่ได้ว่าอะไรผมจึงรีบเดินเข้าไปในห้องโดยก้มหลังเดินผ่านหน้าอาจารย์มาอย่างนอบน้อม

แอบดีใจเบาๆ ที่อย่างน้อยผมก็แค่เกือบสาย เช็กชื่อทันพอดีก็ยังถือว่าไม่สายนั่นแหละน่า

“ถ้าคุณคิมหันต์เลขที่หนึ่ง ก็ถือว่าสายนะคะ” อาจารย์ป้าหน้าโบ (ท็อกซ์) พูดขึ้นมาเสียงเข้มพลางขยับแว่นสายตากรอบสีทองบางเฉียบขึ้นเล็กน้อยถึงปานกลาง ทว่าแว่นสายตานั้นเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเพราะสายตาที่เธอมองผมอยู่เหนือกรอบแว่นนั้นขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าใส่แว่นไว้ทำไม

“ผมเลขที่เก้าครับ” ผมตอบอย่างมั่นใจแล้วฉีกยิ้ม พูดจบผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนทุกคนในห้องแอบหัวเราะกันเบาๆ แต่สุดท้ายทั้งห้องก็ต้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อมีฝุ่นละอองปลิวเข้ารูจมูกของอาจารย์แล้วลื่นไหลไปที่หลอดลมจนอาจารย์รู้สึกระคายเคืองคอเป็นเหตุให้ไอค่อกแค่ก

“เชิญ!”

ใจหายแวบเลย คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้อาจารย์ทันทีพร้อมกับลอบถอนหายใจ ก่อนจะพุ่งตัวตรงไปที่บันไดสโลปแล้วรีบกวาดสายตาเพื่อมองหาที่นั่งตามทิศทางมงคล

ผมก็แค่ต้องเลือกและมองหาทำเลทองเหมาะๆ ในการหลบสายตาของอาจารย์ป้า ที่รุ่นพี่ต่างก็เล่าขานและขนานนามกันว่าเวลาตัดเกรดเธอจะโหดสัสรัสเซียมากกว่าเวลาสอน ซึ่งเมื่อมองเห็นทำเลที่โดนใจแล้ว ผมก็รีบสืบเท้าตรงไปที่ชั้นสามมุมห้องฝั่งซ้ายมือของอาจารย์ทันที

ฟู่!!!

แอบถอนหายใจยาวๆ อีกรอบเมื่อทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก้มหน้าลงเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดเลคเชอร์กับปากกาขึ้นมาเตรียมความพร้อมรออาจารย์เพราะว่าตอนนี้อาจารย์กำลังเช็กชื่อเพื่อนๆ คนอื่นไปเรื่อยๆ ตามลำดับเลขที่ ถือโอกาสนี้จดจำชื่อเพื่อนร่วมคลาสไปด้วยเลยก็แล้วกัน

“คุณติณภพ”

ตึง!

“มาครับ” เสียงทุ้มเข้มขานรับพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวพรวดโผล่พ้นมาจากด้านหลังประตูที่เพิ่งจะถูกผลักเข้ามา ระดับความสูงของหมอนั่นเลยวงกบประตูขึ้นไปอีกแน่ะ

ทุกคนในห้องรีบหันไปมองหน้าตาเพื่อนผู้มาใหม่ และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะว่าเสียงผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อนนั่นทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องไปโดยปริยาย

ร่างสูงยืดลำตัวขึ้นตรงเต็มความสูงซึ่งสามารถจะสะกดทุกสายตาได้อยู่หมัด ผมแอบประเมินด้วยสายตาแล้วนายคนนั้นน่าจะสูงราวๆ ร้อยแปดสิบปลายๆ ทีเดียว ขนาดมองไกลๆ ยังรู้สึกว่าเขาสูงมากจริงๆ ใบหน้าขาวสะอาดจนทำให้เครื่องหน้าทุกอย่างโดยรวมดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากสีแดงสดราวกับผลเชอร์รี่ จมูกโด่งเป็นสันเหมือนจะเป็นลูกครึ่งแต่ติดตรงที่เขามีเส้นผมสีดำขลับที่บ่งบอกถึงความเป็นชายไทยแท้ๆ ที่ยิ่งขับสีผิวของเขาให้ขาวเด่นมีออร่ายิ่งกว่าเดิม สายตาคมๆ ที่อยู่ภายใต้เรียวคิ้วเข้มนั่นทำให้เขาดูเป็นผู้ชายดุดันทีเดียว สรุปได้ว่าคนนี้งานดี งานพรีเมี่ยม

คนห่าอะไรจะหล่อขนาดนี้ หล่อไม่ลืมหูลืมตา หล่อวัวตายสาววายตะลึง กันทั้งห้องไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ชาติก่อนทำบุญด้วยแมกกาซีนนายแบบมั้ง

“สายค่ะ”

“ไม่สายครับ”

“สายค่ะ”

“ไม่สายครับ”

“ฉันบอกว่าสายค่ะ!”

“แต่ผมดูเวลาแล้วว่าผมไม่สายครับ ผมได้ยินอาจารย์เรียกชื่อผมพอดีตอนก้าวเท้าเข้ามา” ร่างสูงพยายามอธิบาย (เถียง) ข้างๆ คูๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาความกล้าอย่างนั้นมาจากไหน เมื่อกี้ตอนผมเถียงอาจารย์ผมยังใจสั่นแทบแย่ แต่เขาพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับพูดคุยกับอาจารย์ถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ

ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่กำลังตกตะลึงในความใจกล้าของนายคนนั้น ที่กล้าต่อปากต่อคำกับอาจารย์ที่คนทั้งคณะไม่กล้าแม้แต่จะสบตาตอนเดินผ่าน หรือถ้านี่ไม่ใช่ความกล้า ก็ต้องเป็นความบ้าแน่ๆ คนดีๆ ที่ไหนเขาจะกล้ายืนเถียงอาจารย์ป้ารุ่นปูชนียบุคคลประจำมหา’ ลัยแบบนั้นกัน

บทถัดไป