บทที่ 2 Intro [2]
ผมได้แต่นั่งมองตามร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยความมั่นหน้า แอบสงสัยว่าไอ้หมอนี่ไปเอาความกล้ามาจากไหนที่ถึงได้เถียงอาจารย์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด (ตอนตัดเกรด) คอยดูเถอะ ถ้าอาจารย์ประทับใจจนจำชื่อมันได้ขึ้นมา ผมว่าเกรดมันคงออกมาไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่
“โอเค ครั้งนี้ฉันจะอะลุ่มอล่วยให้ก็แล้วกัน แต่ถ้าครั้งหน้าคุณโผล่หน้ามาหลังจากที่ฉันขานชื่อคุณแม้แต่วินาทีเดียว ฉันจะถือว่าสาย” อาจารย์ป้าสรุปสั้นๆ ก่อนจะชักสีหน้าใส่นายคนนั้นแรงๆ จนผมยังรู้สึกเสียวสันหลังแทน
“ครับ” นายคนนั้นขอบคุณอาจารย์ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนเดิม ใบหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับคำเตือนปนประชดของอาจารย์เลยสักนิด
หลังจากที่ตกปากรับคำอย่างมักง่ายจบไปเรียบร้อย ร่างสูงก็ก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในห้องแล้วสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งเหมือนกันกับที่ผมทำไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ระหว่างนั้นอาจารย์ก็ยังคงเรียกชื่อเพื่อนคนอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ ตามลำดับของเลขที่ในการลงทะเบียนรายวิชานี้ แต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้ความสนใจของนักศึกษาครึ่งค่อนห้องกำลังพุ่งไปที่ร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ด้านล่าง ห่างจากจุดที่อาจารย์ยืนอยู่ประมาณสองก้าว เพราะว่ามันยังคงกวาดสายตามองหาที่นั่งอยู่
แต่แล้วอยู่ๆ สายตาคมเข้มคู่นั้นก็มองมาทางผม!
ไม่นะ อย่าบอกนะว่าหมอนั่นจะมานั่งข้างผมน่ะ เดี๋ยวก็พาผมซวยไปด้วยหรอก
ฟุ่บ!
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ เพราะว่านายคนนั้นเดินดุ่มๆ ตรงมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ผมจริงๆ แบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพของผมสักคำ
“น่าเบื่อฉิบ!”
ผมได้ยินไอ้คนข้างๆ บ่นพึมพำก่อนที่จะยกเท้าขึ้นมาไขว่ห้างอย่างไร้มารยาท แต่ว่าผมก็ทำได้แค่มองหมอนั่นอย่างตำหนินั่นแหละ เรื่องของมารยาททางสังคมมันสอนกันไม่ได้หรอก
“ชื่ออะไร”
แล้วผมก็ได้ยินเสียงนกเสียงกาดังมาจากข้างๆ
“นี่ กูถามไม่ได้ยินรึไง”
แล้วเสียงนกเสียงกาก็ดังขึ้นสองระดับ แต่ทำเอาผมต้องลอบกลืนน้ำลายเพราะว่าเสียงของไอ้หมอนั่นทำให้อาจารย์ที่ยืนอยู่กลางห้องถึงกับช้อนตามองมาที่เรา และที่สำคัญเลยคือไอ้หมอนั่นพูดภาษาพ่อขุนรามกับผมทั้งที่เราเพิ่งจะเคยเจอหน้ากันครั้งแรก แถมยังใช้เท้าสะกิดผมแรงๆ หรือที่แถวบ้านผมเรียกว่าเตะนั่นแหละ
แอบขีดเส้นใต้ว่ารองเท้าผ้าใบดำมาก ต่างจากหน้าตาของมันที่ดูดีและน่าจะเป็นผู้ชายรักสะอาด
“ชื่อคิม” ผมตอบห้วนๆ อย่างจำใจ เพราะถ้าผมยังคงทำเป็นไม่สนใจ มันคงไม่เลิกเตะเท้าผมสักที ดีไม่ดีมันอาจจะกระทืบเท้าผมก็ได้
และเมื่อแนะนำตัวจบผมก็ผมแอบชำเลืองหางตามองไอ้หมอนั่นอย่างตำหนิอีกครั้ง แต่ว่าสายตาคู่นั้นกลับไม่ได้มองมาที่ผมเลยสักนิดเพราะว่ากำลังมองไปด้านหน้า ทำเป็นนั่งหน้านิ่งไปเนียนๆ เหมือนจะรู้ตัวว่าเราสองคนกำลังถูกอาจารย์เพ่งเล็งอยู่
“ติณ”
“อะไร”
“กูชื่อติณ” ไอ้หมอนั่นแนะนำตัวสั้นๆ
“ชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมชื่อตีน”
“อยากลองกินมั้ยล่ะตีนน่ะ” ไอ้หมอนั่นหันมากัดฟันพูดกับผม แถมยังมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นมิตรกับมันเหมือนกันนั่นแหละ เพราะถึงมันจะหล่อแต่ถ้าไม่มีมารยาทก็ถือว่าไม่น่าคบ
ผมไหวไหล่เล็กน้อยเพราะตั้งใจจะกวนประสาทหมอนั่นตั้งแต่แรก มีอย่างที่ไหนมาชวนผมคุยทั้งที่ตัวเองโดนหมายหัวอยู่ล่ะ ดูจากสายตาของอาจารย์ผมก็รู้ว่ามันต้องลำบากแน่ๆ อีกอย่างคือเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะมาพูดมึงกูใส่กันได้ด้วย และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือผมตั้งใจจะนั่งตรงนี้เพราะอยากจะนั่งเรียนคนเดียว ไม่อยากวุ่นวายกับใคร แต่ไอ้บ้านี่มันดันดึงความสนใจของทุกคนมาที่เราหมดเลย ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ที่ยังคงมองมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่มันเดินมานั่งลงเนี่ย
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
มันเอาอีกละ
“อืม”
“กูเพิ่งย้ายมา”
“อืม”
“เพิ่งโดนไล่ออกจากมหา’ ลัยเก่าเมื่ออาทิตย์ก่อน”
ประวัติน่าคบหาด้วยจริงๆ
“มึงไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมกูถึงโดนไล่ออก”
ผมว่ามันต้องบ้าแน่ๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่อยากจะพูดด้วยมันก็ยังพล่ามอยู่ได้
“ทะเลาะวิวาท”
มันต้องใช่แน่ๆ ไอ้ติณมันต้องเป็นโรคประสาท เพราะคนดีๆ เขาไม่พูดเองเออเองเสร็จสรรพแบบมันหรอก อีกอย่างผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าผมอยากรู้เรื่องของมัน
“นี่!”
มันยังคงใช้เท้าสะกิดผมเป็นระยะๆ เพราะตั้งแต่แนะนำตัวเสร็จ ผมก็ยังไม่ได้หันไปพูดกับมันอีกเลย
“นี่มึง!”
“เชิญค่ะ!”
แล้วอยู่ๆ เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้นจนผมสะดุ้งตกใจ หลังจากที่เมื่อกี้นี้ผมกำลังจะหันไปบอกให้ไอ้ติณหุบปาก
“เชิญทั้งคู่เลยค่ะ”
เอ่อ อาจารย์พูดแล้วมองหน้าผมแบบนั้นหมายความว่ายังไง










































































