บทที่ 21 EP 05 เด็กปั้น [3]
ทุกคนกังวลเหมือนกลัวว่าผมจะสาหัสทั้งๆ ที่ก็แค่เลือดกำเดาไหล และที่สำคัญเลยคือเราเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางคนผมยังไม่เคยจะพูดกับเขาเลยด้วยซ้ำอย่างเช่นไอ้กาย
“เราไม่เป็นไรแล้ว” ผมรีบบอกแล้วปัดมือไอ้ติณที่กำลังพยายามซับเลือดกำเดาให้ผมออกเบาๆ ยิ้มให้มันนิดหน่อยเพราะสีหน้าของมันยังดูตกใจอยู่เลย
“มึงไปนั่งพักก่อนก็ได้นะ”
“เราไหว” ผมบอกอีกครั้งแล้วยืดลำตัวขึ้นตรงเต็มความสูงพร้อมส่งยิ้มให้กับทุกคนที่รีบถอยออกจากพื้นที่เพื่อขยายวงให้กว้างออกแต่ว่าก็ยังล้อมผมเอาไว้
“กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย”
“เรารู้ เราไม่ทันตั้งตัวเองนั่นแหละ” ผมยิ้มให้ไอ้บอลอีกคน สงสัยมันจะกลัวตัวเองกลายเป็นฆาตกร
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูเลี้ยงพวกมึงเอง” ไอ้ติณรีบออกตัว ทำเอาผมหันไปทำหน้างงใส่มันเพราะไม่คิดว่ามันจะยอมแพ้ง่ายๆ
ผมรู้ว่าพวกมันเล่นกันเอาสนุกและไม่ได้จริงจังกับผลการแข่งขัน แต่ก่อนหน้านี้ไอ้ติณมันยังจะเป็นจะตายอยู่เลย ทำไมอยู่ๆ มันก็ยอมจบเกมง่ายๆ
“ป่ะไอ้คิม กลับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ดึกๆ ค่อยไปแดก” ไอ้ติณหันมาบอกผมอีกรอบ
“ได้ไง เกมยังไม่จบเลย”
“ดั้งจะหักแล้วยังไม่เจียมอีกนะมึง”
นี่ผมหวังดีกับมันนะ มันจะด่าผมทำไม
“เราบอกแล้วไงว่าไหว อีกอย่างเวลาก็ยังไม่หมด อย่าตุ๊ดดิ” ผมแกล้งพูดท้าทายเพราะรู้ดีว่าไอ้ติณไม่ชอบให้ใครดูถูกมัน และผมเองก็ไม่อยากรู้สึกผิดที่ทำให้มันต้องเป็นฝ่ายยอมจบเกม
“มึงด่ากูเหรอไอ้คิม กูห่วงมึงนะเนี่ย”
“ก็เราบอกแล้วว่าเราไหว”
“แต่มึง...”
“เราไหว” ผมรีบย้ำอีกรอบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองตาไอ้ติณอย่างมุ่งมั่น ยิ้มให้มันเพื่อแสดงให้มันเห็นว่าผมยังไหวจริงๆ
“ตายห่าคาสนามอย่ามาโทษกู”
“ถ้าเรายิงเข้า นายเลี้ยงนะ”
“ตกลงมึงอยู่ข้างไหนไอ้เหี้ยคิม” ไอ้ติณเริ่มหาเรื่องผมอีกรอบ นั่นเป็นสัญญาณว่าสถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากที่ทุกคนเงียบกันมานาน
“ทีแรกเราก็นั่งอยู่ข้างสนาม แต่นายเรียกเรามาลงสนามเอง ความจำเสื่อมเหรอ โอ๊ย!”
นั่นไง กบาลลั่นแล้ว คราวนี้ผมสบายใจแล้วจะได้กลับไปวิ่งเหยาะๆ ได้สักที
ผมหัวเราะเบาๆ เพราะรู้สึกขำตัวเอง ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบทำอะไรแบบนี้หรอก เวลาส่วนมากของผมหมดไปกับการอ่านหนังสือ ทำรายงาน แล้วก็ทำงานที่ร้านของพี่ไทม์ อย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยมีเพื่อน ทำให้ไม่ค่อยได้มาออกกำลังกายหรือว่าเฮฮาแบบนี้เท่าไร คิดไปคิดมามันก็แปลกดีที่อยู่ๆ ผมกลับต้องมาวิ่งตากแดดเหงื่อท่วมตัวแล้วเสแสร้งพูดให้ดูดีว่ามาออกกำลังกาย
“พร้อมนะไอ้คิม”
กรรมการประจำสนามอย่างไอ้กายหันมาถามผมอีกรอบ ผมพยักหน้าให้มันแทนคำตอบก่อนจะเดินเรื่อยเปื่อยมารอแตะลูกบอลอยู่ที่อีกฟากของสนาม เพราะครั้งนี้ไอ้เกมน่าจะเป็นคนเขี่ยบอล
ปี๊ดดด!
เดินยังไม่ได้สามก้าวแม่งก็เป่าละ ทำเหมือนจะเร่งให้เกมจบเร็วๆ
“โอ๊ย ไอ้เหี้ยเกม”
เสียงไอ้ติณโวยวายเมื่อพยายามจะแย่งบอลจากไอ้เกมแต่ว่าโดนมันชนจนล้มกลิ้งลงไป ขนาดตัวใหญ่ๆ อย่างไอ้ติณไอ้เกมยังชนล้มได้เลย แล้วผมล่ะ ถึงจะไม่ได้บอบบางแต่ถ้าเทียบกันแล้วผมผอมกว่าไอ้ติณนะ เตี้ยกว่านิดหน่อยด้วย
“หึๆ”
ผมได้ยินเสียงไอ้เกมหัวเราะระหว่างที่มันกำลังจะเลี้ยงบอลผ่านผมไป ผมพยายามมองหาไอ้บอลซึ่งหางตาของผมเหลือบไปเห็นมันรออยู่ใกล้ๆ ประตู แต่ตรงนั้นก็ไกลเกินกว่าที่มันจะวิ่งมาช่วย
ไอ้เกมยังคงกวนประสาทผมด้วยการสับขาหลอกผม วินาทีที่มันชะล่าใจผมก็ตัดสินใจเตะเท้าออกไปข้างหน้าเบาๆ เพื่อจิ้มบอลให้ออกจากเส้นทางการเลี้ยงของไอ้กาย
“ไอ้เหี้ยคิม”
มันไม่ได้ยากเกินกว่าความสามารถระดับนักกีฬาโรงเรียนอย่างผมสักหน่อย
“เด็กปั้นกูครับ เด็กปั้นกู”
เสียงไอ้ติณตะโกนอยู่ข้างหลังเมื่อมันเห็นว่าผมแย่งบอลมาจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย บอกตรงๆ ว่าผมยังไม่ทันจะได้ออกแรงเลย ก็บอกแล้วว่าผมลงมาวิ่งเหยาะๆ
“ยิงเลยไอ้คิม”
ไอ้บอลตะโกนสั่ง จริงๆ ผมตั้งใจจะส่งให้มันนะเพราะมันอยู่ใกล้ประตูที่สุด แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะถูกไอ้ไม้เอกเอาตัวบังเอาไว้
ผมยืนลังเลอยู่สักพักก่อนจะมองไปที่ประตูสลับกับไอ้ติณที่กำลังวิ่งเข้ามา ไอ้ห่าเกมโกงมากเพราะมันพยายามดึงเสื้อไอ้ติณเห็นๆ
“ยิงเลยไอ้เหี้ย กูเสียว” ไอ้กายร้องเชียร์อีกคน ย้ำอีกรอบว่ามันเป็นกรรมการ
“ไอ้คิม!”
เสียงร้องเรียกจากไอ้ติณทำให้ผมละสายตาจากประตูหันไปมอง แต่ว่าพอหันกลับไปสิ่งแรกที่เห็นกลับไม่ใช่ไอ้ติณ แต่ว่าเป็นไอ้เกมต่างหาก
ฟึ่บ!
วินาทีที่เห็นไอ้เกมวิ่งเข้ามา สิ่งแรกที่คิดได้คืองัดลูกบอลขึ้นมาไว้บนหลังเท้า โยนมันขึ้นนิดหน่อยจากนั้นผมก็...
“วู้!!! มึงสุดยอดมากก เด็กปั้นกูแจ๋วโว้ยยย”
เสียงร้องดีใจของไอ้ติณดังลั่นไปทั่วสนาม ก่อนที่มันจะวิ่งเข้ามากระโดดขี่หลังผมเหมือนเด็กสามขวบ แถมยังกระโดดเย้วๆ อยู่บนหลังของผม เฮ้อ
