บทที่ 22 EP 06 แมลงหวี่ [1]
“มึงเจ๋งมากไอ้เหี้ยคิม”
“เรา...ฟลุ้ค” ผมตอบเบาๆ เพราะไม่อยากใส่ใจมากสักเท่าไหร่
จริงๆ เมื่อกี้ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเข้าจริงๆ หรอกนะ ไม่ได้ตั้งใจยิงด้วยซ้ำแต่ไม่รู้จะส่งให้ใคร วินาทีที่งัดลูกขึ้นมาผมก็แค่ป้องกันตัวเอง เพราะถ้าผมขืนเลี้ยงลูกบนพื้นต่อไปไอ้เกมคงสกัดขาผมแน่ๆ ผมแค่ป้องกันตัวเองจริงๆ
“มึงเทพมาจากไหนไอ้เหี้ยคิม” ไอ้เกมเดินเข้ามาถาม คำถามมันฟังเหมือนจะหาเรื่องผมก็จริง แต่หน้าตามันเหมือนสงสัยมากกว่า ท่าทามันจะไม่เชื่อว่าผมทำได้
“เราบอกว่าฟลุ้คไง”
“ปกติไม่เคยมีใครหลบตีนกูได้นะ”
“เรานั่งดูนายโกงติณมาตั้งแต่เริ่มเกม เราก็เลยจับทางได้ ไม่เห็นจะแปลก” ผมตอบไปตรงๆ แต่กลับทำให้ม่านตาของไอ้เกมค่อยๆ ขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เห็นมั้ย นี่ไงหลักฐานกู มึงโกงกูไอ้เกม ไอ้เหี้ยคิมเป็นพยาน”
แล้วไอ้ติณก็เริ่มเปิดประเด็นโต้วาทีกับไอ้เกมอีกครั้ง
“เออๆ กูยอมใจมึงไอ้คิม งั้นพรุ่งนี้กูเลี้ยงเอง” ไอ้เกมยอมจำนนด้วยหลักฐาน ทุกคนหัวเราะกันสนุกสนานก่อนจะพากันออกมานั่งที่อัฒจันท์ โยนขวดน้ำเย็นที่ซื้อมาเตรียมไว้ส่งต่อๆ กันไปสลับกับผ้าเย็นและเครื่องดื่มบำรุงกำลัง
“แดกมั้ย”
“มั้ยล่ะ น้ำเปล่าก็พอ” ผมบอกยิ้มๆ เมื่อไอ้บอลเดินเอาเกลือแร่มาส่งให้ผม ซึ่งพอผมปฏิเสธมันก็จัดการเปิดดื่มเสียเองก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“หลบไปไอ้เหี้ยบอล กูจะบำรุงเด็กปั้นกูสักหน่อย” ไอ้ติณเดินเข้ามาใช้เท้าเขี่ยๆ ให้ไอ้บอลขยับไปนั่งห่างจากผม ก่อนที่มันจะนั่งลงมาแทนที่พร้อมกับน้ำและขนมที่หอบมาเต็มสองแขน
คือที่ผมสงสัยก็คือมันเอามาจากไหน เพราะตอนเดินมาทั้งผมและมันมากันสองคนตัวเปล่าๆ นี่นา
“แดกฟรีทั้งขึ้นทั้งร่องนะมึง”
“แพ้แล้วอย่าพาลไอ้สัส” ไอ้ติณหันไปมองไอ้เกมที่นั่งเช็ดหน้าด้วยผ้าเย็นตาขวาง ผมก็เลยสรุปเอาเองว่าขนมและน้ำทั้งหมดนี่น่าจะเป็นของไอ้เกม
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปรับน้ำเปล่าจากไอ้ติณที่มันอุตส่าห์เปิดฝาให้มากระดกดื่มเหมือนคนอื่นๆ นานแล้วที่ผมไม่ได้เล่นสนุกเฮฮาแบบนี้ จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้าย...เมื่อไหร่
“มึงเล่นบอลเป็นทำไมไม่บอกกู” แล้วไอ้ติณก็เริ่มถาม หลังจากที่มันโยนขวดแก้วในมือมันลงถังขยะใบใกล้ๆ ไปอย่างแม่นยำ
“นายไม่ได้ถามเรา”
“ก็กูคิดว่ามึงไม่ชอบเล่น”
“ไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่าเล่นไม่เป็นสักหน่อย” ผมรีบย้อน
“แต่มึงเล่นเก่งมากเลยนะ ถามจริง มึงไปฝึกมาจากไหน ลูกที่มึงยิงเมื่อกี้นี้กูยังทำไม่ได้เลย ทำทีไรบอลแม่งกลิ้งตกหลังตีนทุกที” ไอ้ติณเล่าแล้วหัวเราะ ซึ่งแรกๆ ที่ผมลองเล่น ก็เป็นแบบมันนั่นแหละ
“เราเคยเป็นนักกีฬาโรงเรียนสมัยอยู่ไฮสคูล”
“กูเจอตัวท็อปอีกแล้วสินะ”
ผมได้ยินเสียงไอ้เกมบ่นพึมพำก่อนที่มันจะเดินมานั่งฟังด้วย ตามมาด้วยมิตรรักแฟนเพลงที่มานั่งล้อมวงราวกับการละเล่นรอบกองไฟ
“มึงเล่นตำแหน่งอะไร”
“กัปตันทีม”
“เหี้ยแล้ววว นี่ตากูเป็นต้อรึเปล่าวะเนี่ยถึงได้มองข้ามหัวมึงไป” ไอ้ติณพูดพลางยกมือขึ้นมาตีหน้าผากตัวเองแรงๆ เหมือนจะเสียดายที่ไม่ให้ผมลงไปเล่นด้วยตั้งแต่แรก
“คราวหน้ามึงเป็นกรรมการนะ ให้ไอ้กายมาลงแทน” ไอ้เกมรีบออกตัว
“อ้าว มันเด็กปั้นกูนะเว้ย”
“ไม่ได้ เทพสัส ห้ามลงสนาม กูเล่นเอามันไม่ได้เล่นเอาโล่” กลายเป็นไอ้เกมปอดแหกกลัวผมไปซะอย่างนั้น
“แล้วเมื่อกี้มึงโกงทำไมถ้าบอกว่าเล่นเอามัน” ไอ้บอลพูดพลางหัวเราะ
“เรื่องของกู แต่ห้ามไอ้เหี้ยคิมลงสนาม เดี๋ยวเผื่อสาวเห็นเรตติ้งกูตกพอดี”
ที่แท้เจตนารมณ์ของมันก็ลึกล้ำกว่าที่ผมคิด มันไม่ได้กลัวแพ้แต่ว่ากลัวเรตติ้งตกนี่เอง
ผมนั่งมองทุกคนหัวเราะกันสนุกสนาน ผลัดกันพูดผลัดกันฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดพูดก่อนง่ายๆ ทำราวกับว่าเกือบสองชั่วโมงที่รู้จักกันจะเป็นสองชั่วโมงสุดท้ายในชีวิต
“ไอ้กาย แม่มึงมารับแล้ว”
ทุกคนเงียบลงตามสัญชาตญาณ ไอ้กายรีบหันซ้ายหันขวาก่อนที่มันจะดีดตัวขึ้นจากพื้นสนามหญ้าแล้วหันไปทางสิบนาฬิกาที่เมื่อผมมองตามไปก็เห็นว่ามีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่พวกเรา
“ไอ้คิม”
“ว่าไง”
“มึงว่าคนซ้ายสุดหน้าคุ้นๆ มั้ย” ไอ้ติณใช้เท้าสะกิดผมแล้วถามออกมาเบาๆ โดยที่ยังไม่หันมามองผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้หันไปมองมันหรอก และคิดว่าผมเองก็กำลังมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนที่ไอ้ติณกำลังมอง
“อืม ใช่แน่ๆ”
“โลกกลมฉิบหาย”
“เอาไงล่ะ นายจะจีบเธอไม่ใช่เหรอ” ผมรีบถาม จำได้ว่าเมื่อตอนก่อนหน้านี้มันบอกเองว่ามันสนใจไอเดีย แล้วตอนนี้เธอก็เดินมาอยู่ตรงหน้าแล้วด้วย
“กูยังไม่ได้เตรียมมุก”
“ไม่น่าจะคิดนาน เราว่าอย่างนายน่าจะถนัดเรื่องสับราง โอ๊ย” ผมร้องเสียงดังจนทุกคนหันมามอง ไอ้ห่านี่ก็ตบจนผมๆ จะร่วงหมดหัวแล้วเนี่ย
