บทที่ 5 EP 01 โจรกระจอก [2]
ผมแอบหันกลับไปมองพี่ไทม์ที่ยังคงเดินกวาดร้านไปผิวปากไปเรื่อยๆ แล้วแอบยิ้มคนเดียว ก่อนจะรีบเก็บซองเงินเดือนใส่กระเป๋าเป้เอาไว้ พรุ่งนี้คงได้เวลาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันหน่อย พี่ไทม์จ่ายพิเศษมาแบบนี้เดือนนี้ผมคงมีพอจะเหลือเก็บบ้าง
“หลบไป/เฮ่ย”
ผมอุทานออกมาเสียงดังเมื่ออยู่ๆ ก็มีใครที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งมาชนผมจากทางด้านหลัง แถมยังชนแรงมากจนผมกระเด็นตกฟุตบาธมาชนเข้ากับรถที่จอดเทียบฟุตบาธพอดี
แหม! รถหรูเสียด้วย ดีนะที่ผมไม่ได้ทำรถเขาเป็นรอย พับผ่าสิ
“จะรีบไปตายที่ไหนวะ!” ตะโกนถามเสียงดังด้วยความหงุดหงิด คนกำลังอารมณ์ดีๆ อยู่แท้ๆ เลย
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีโจรกระชากกระเป๋าค่ะ”
แล้วระหว่างที่ผมกำลังอารมณ์เสียเพราะไอ้บ้าที่วิ่งชนผมเข้าอย่างจัง ผมก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ซึ่งพอเงยหน้าขึ้นไปมอง ผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งตามนายคนนั้นมาด้วยท่าทีรีบร้อน ดวงตากลมโตกำลังมองมาที่ผม สีหน้าของเธอตื่นตระหนก แถมเธอยังชี้นิ้วตรงไปที่นายคนนั้นอย่างชัดเจน
“ช่วยด้วยค่ะ มันกระชากกระเป๋าฉันค่ะ”
“เวรละ!” ผมสบถพึมพำแล้วรีบวิ่งตามไอ้โจรกระชากกระเป๋านั่นไปตามสัญชาตญาณของตัวเองในทันที
ปกติแล้วผมไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นนะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเลือดรักความยุติธรรมของผมมันจะพลุ่งพล่านตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าตื่นๆ ของเธอคนนั้น
...เธอสวย...ผู้หญิงอะไรตกใจแล้วยังสวย
“หยุดนะโว้ย”
ผมแหกปากตะโกนบอกพร้อมกับยังคงวิ่งไล่กวดไอ้โจรกระจอกนั่นไปติดๆ เห็นหลังไวๆ เหมือนจะทิ้งห่างผมไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ทำไมวิ่งตามเท่าไหร่ก็ยังไม่ทันสักที
“ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ จับได้พ่องจะอัดให้น่วมเลย”
“ไปตามพ่องมึงมาสิ”
ไอ้โจรกระจอกตะโกนต่อปากต่อคำกับคนอย่างผม เดี๋ยวก่อนเถอะ ให้มันรู้ซะบ้างว่าแถวนี้ถิ่นใคร
ผมเร่งความเร็วของฝีเท้าตามไอ้โจรกระจอกนั่นมาจนเกือบจะถึงตัวมันแล้วแต่ว่ามันกลับเลี้ยวหลบเข้าซอยใกล้ๆ ไปได้เสียก่อน แต่คิดว่าแค่นี้จะหนีผมพ้นหรือไง ผมวิ่งไปมหา’ ลัยตั้งแต่ปีหนึ่งจนนี่ขึ้นปีสามแล้ว เรียกได้ว่าทุกตรอกซอกซอยแถวนี้ต้องเคยผ่านฝีเท้าผมมาหมดแล้วทั้งนั้น เดี๋ยวไปเจอกันซอยข้างหน้าเลยไอ้โจรสามานย์!
“โอ๊ย!”
แล้วเสียงร้อยโหยหวนของไอ้โจรกระจอกก็ดังจนผมเหยียดยิ้ม
แต่เดี๋ยวนะ มันร้องทำไม ผมยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปจากซอกตึกที่อุตส่าห์รีบวิ่งมาซ่อนตัวรอมันอยู่เลยนะ
“ปล่อยกู!”
ได้ยินเสียงไอ้โจรกระจอกนั่นดังขึ้นอีกรอบ ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นตัวมันอยู่ดี
ใครจับมันไว้กันนะ ผมยืนดักรออยู่ตรงนี้แท้ๆ เพราะยังไงเสียหากว่ามันเข้าซอยเมื่อกี้นี้มา มันก็ต้องวิ่งผ่านซอยที่ผมวิ่งเข้ามาดักรอสิ
“กูบอกให้ปล่อยกู!”
เสียงร้องติดๆ กันของมันทำให้ผมต้องค่อยๆ เดินย่องๆ ออกมาจากซอกตึกที่ลงทุนวิ่งทะลุจากซอยที่แล้วมายืนดักรอสกัดขามัน ก้าวตรงเข้าไปในซอยที่คิดว่าเสียงของไอ้โจรนั่นดังมาจากมุมนั้น แล้วสิ่งที่ผมเห็นกับตาก็คือร่างของไอ้โจรกระจอกนั่นกำลังลอยอยู่เหนือพื้น (นิดเดียว) เพราะโดนใครบางคนจับคอเสื้อของมันเอาไว้แน่นแล้วยกค้างเอาไว้
“กระเป๋า”
“ไอ้ติณ!”
บ้าชะมัด ทำไมผมต้องมาเจอไอ้บ้านี่อีกแล้ว
ผมหลุดปากเรียกชื่อติณออกไปทั้งที่ยังคงยืนมองมันนิ่งๆ ผมเห็นนะว่าเมื่อกี้นี้มันชำเลืองหางตามองผมแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้หันมามองตรงๆ เพราะว่ามันกำลังจ้องเล่นงานไอ้โจรกระจอกนั่นอยู่
“หูแตกเหรอมึง กูบอกให้มึงส่งกระเป๋ามา” ไอ้ติณย้ำเสียงเข้ม กำคอเสื้อของไอ้โจรกระจอกแน่นขึ้นพร้อมกับเขย่าแรงๆ จนเท้าของมันแกว่งไปมากลางอากาศ ใบหน้าของมันแดงก่ำเพราะกำลังจะขาดอากาศหายใจ แถมตาเหลือกราวกับจะถลนออกมาจากเบ้า
“ค่อกๆ แค่กๆ ค่ะๆ คืนแล้วๆ”
“ก็แค่เนี้ย พ่อแม่มึงไม่สั่งสอนบ้างเหรอว่าไม่ให้ขโมยของคนอื่น” ไอ้ติณพูดไปด้วยเขย่าคอเสื้อไอ้โจรกระจอกนั่นไปด้วยทำเอาผมรู้สึกอึดอัดแทน กลัวจริงๆ ว่าไอ้โจรนั่นจะตายคามือไอ้ติณ
ไม่เข้าใจเลยเหมือนกันว่าไอ้ติณมันจะเสียเวลาสั่งสอนโจรทำไม ในเมื่อถ้ามันคิดได้ มันคงไม่เลือกเป็นโจร
“สะ สะ สอน”
“สอนแล้วก็หัดจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วย แล้วอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีกนะ ไม่งั้นจะเตะให้ตายคาตีนเลย ไป๊!”
ลงท้ายด้วยเสียงห้าวๆ ของไอ้ติณที่ตวาดใส่หน้าไอ้โจรกระจอกในกำมือ (มันกำแน่นจริงๆ) ก่อนที่มันจะเหวี่ยงโจรออกจากมือลงไปนั่งหน้าเหียกอยู่กับพื้น
ซึ่งที่ผมไม่เข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือมันเหวี่ยงไอ้โจรบ้านั่นมาทางผมทำไม
ผมรีบหลบฉากมายืนทำตัวลีบอยู่ข้างกำแพง ไม่ได้กลัวไอ้โจรนั่นหรอกนะแต่ว่ารังเกียจ ไอ้โจรกระจอกนั่นกุลีกุจอวิ่งออกไปแต่ก็ยังไม่วายจะหันมามองผมด้วยสายตาอาฆาต
มันอาฆาตผมทำไม คนที่มันควรจะอาฆาตคือไอ้ติณ ไม่ใช่ผมสักหน่อย
โจรเผ่นแน่บไปแล้ว ตรงนี้ก็เหลือแค่ผมกับไอ้ติณและกระเป๋าสะพายใบนั้นของเธอ ที่ตอนนี้อยู่ในมือของไอ้ติณ
“ยืนมองเหี้ยอะไรของมึง”
อืม สงสัยพ่อแม่มันคงไม่สอนเหมือนกันว่าเวลาพูดจากับคนรู้จักมันควรใช้คำพูดที่น่าฟังกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะก็มึงกู เอะอะก็ปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกจากปาก
“ยืนมองเหี้ยอะไรของมึง”
อืม สงสัยพ่อแม่มันคงไม่สอนเหมือนกันว่าเวลาพูดจากับคนรู้จักมันควรใช้คำพูดที่น่าฟังกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะก็มึงกู เอะอะก็ปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกจากปาก
“ก็มอง...” ผมย้อนแล้วมองหน้าไอ้ติณด้วยสายตาไม่สะทกสะท้าน แต่พอมันขยับผมกลับสะดุ้ง
