บทที่ 6 EP 01 โจรกระจอก [3]
“อ่ะ”
“อะไรของนาย” ผมรีบถามเมื่ออยู่ๆ ไอ้ติณก็เดินมาหาผมจริงๆ แต่ว่าไม่ได้เดินมาเอาเรื่องผมแบบที่ผมแอบกลัวหรอก เพราะว่ามันแค่เดินเข้ามาส่งกระเป๋าใบนั้นให้ผมต่างหาก
บอกตรงๆ นะว่าตั้งแต่เห็นมันยกไอ้โจรกระจอกนั่นขึ้นจนลอยลอยอยู่เหนือพื้นด้วยมือเดียวแล้วผมรู้สึกเสียวสันหลัง แทบไม่อยากจะอยู่ใกล้มันด้วยซ้ำ
“อะไร” ผมถามด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจนี่นาว่ามันจะส่งกระเป๋าให้ผมทำไม
“กระเป๋า”
“กระเป๋านี่ไม่ใช่ของเรา” ผมรีบบอก
“ไม่ใช่ก็เอาไปคืนเจ้าของเขาสิวะ มึงวิ่งตามไอ้โจรนั่นมาเอากระเป๋าไม่ใช่หรือไง” ไอ้ติณถามพลางส่ายหัว มันจะทำหน้าตาหงุดหงิดใส่ผมทำไมในเมื่อผมยังไม่ทันจะทำอะไรให้มันหงุดหงิดเลย
“นายรู้ได้ยังไง”
“กูได้ยินมึงตะโกนพูดกับไอ้โจรนั่น โง่นะมึงอ่ะ คิดว่ามึงถือปืนอยู่หรือไงถึงได้ตะโกนสั่งโจรให้หยุดวิ่งแล้วคิดว่ามันจะหยุดเนี่ย”
มันด่าผมอีกละ
“แล้วนายเห็นได้ยังไง”
“วะ? เรื่องมากนักนะมึง จะเอาหรือไม่เอา” ไอ้ติณย้อนถามผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเบอร์แปด แถมมันยังทำท่าพับแขนเสื้อเหมือนจะหาเรื่อง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะรีบดึงกระเป๋าใบนั้นมาถือเอาไว้ (จริงๆ แล้วผมแค่ตกใจ)
“รสนิยมมึงไม่เลวเลยนะ” ไอ้ติณประชดเจือเสียงแค่นหัวเราะออกมา ก็แหม ถึงมันจะเป็นกระเป๋าสีดำแต่ว่าเลื่อมแพรวพราวขนาดนี้ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ของเรา”
“กูหมายถึงผู้หญิง” ไอ้ติณพูดพลางชำเลืองหางตามองไปที่เก้านาฬิกา ซึ่งพอผมมองตามไปผมถึงได้รู้ว่าเธอคนนั้นผู้เป็นเจ้าของกระเป๋ากำลังเดินมาที่เรา
“นาย!”
เธอคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับไอ้ติณ ทั้งผมและไอ้ติณก็เลยต่างฝ่ายต่างก็หันไปมองเธอ แต่ว่าสายตาของเธอคนนั้นกลับจ้องมองเพียงกระเป๋าของเธอที่ตอนนี้มันอยู่ในมือของผม ผมก็เลยรีบส่งมันคืนให้เธอ
“อ่ะ นี่กระเป๋าเธอ”
ดูจากสายตาแล้วมันคงมีความหมายกับเธอมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่วิ่งตามมาตั้งไกลแถมยังมองมันแบบไม่ละสายตาแบบนั้นหรอก ดีไม่ดีมันอาจจะมีของมีค่าอยู่ในกระเป๋าใบนี้ของเธอก็ได้
“ขอบใจนายมากนะ”
“ไม่เป็นไร คือว่าจริงๆ แล้ว...”
“ฮัลโหล”
แล้วเสียงไอติณก็ดังทะลุขึ้นมากลางปล้อง ไอ้ห่านี่ไม่เคยมีมารยาทเลย ถ้าจะรับโทรศัพท์ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังสักหน่อย หรือไม่ผมว่ามันก็ควรจะเดินไปรับไกลๆ นะ
“ฉันชื่อไอเดียนะ” เธอคนนั้นเริ่มแนะนำตัวแล้วส่งยิ้มให้ผม สายตาเป็นประกายวิบวับจนผมอดจะยิ้มตอบให้เธอไม่ได้
“เราชื่อคิม” ผมตอบกลับไปแบบไม่รู้จะเลี่ยงยังไง ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเธอสวย ยิ่งได้เห็นใบหน้าของเธอใกล้ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ แบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอสวยกว่าเมื่อตอนที่ผมเห็นเธอวิ่งเมื่อกี้นี้เสียอีก ซึ่งผมอาจจะพูดอะไรกับเธอได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ติดตรงที่ติณยืนทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคิม”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมตอบตะกุกตะกักแล้วชำเลืองหางตามองไปที่ไอ้ติณอีกรอบ แต่ปรากฏว่ามันก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น แถมไม่ยอมเดินไปไหน ทำเหมือนผมกับไอเดียไร้ตัวตน
“เอ่อ หมอนี่ชื่อติณน่ะ” ผมรีบแนะนำไอ้ติณอีกคนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เพราะว่าเห็นเธอกำลังมองไปที่มันเหมือนที่ผมกำลังมอง คิดดูเถอะว่ามีสายตาสองคู่จ้องมันอยู่มันก็ยังไม่รู้ตัว
อย่างน้อยมันก็น่าจะรีบพูดหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้บรรยากาศมันไมอึดอัดอย่างนี้ จะเลือกรักษามารยาทด้วยการวางโทรศัพท์หรือไม่ก็เดินไปคุยไกลๆ ก็ได้ แต่ไอ้เวรนี่ก็ยังเลือกจะยืนอยู่ตรงนี้เหมือนตั้งใจ
“ลองเปิดดูกระเป๋าสิว่ามีอะไรข้างในหายไปรึเปล่า”
ผมแนะนำออกไปเมื่อไอเดียยังเอาแต่ยืนยิ้ม แต่กลับไม่เดินไปไหนเหมือนจะรออะไรอยู่ ซึ่งพอพูดจบเธอก็รีบทำตามคำแนะนำของผมทันที แต่คงไม่มีอะไรหายหรอกมั้ง ไอ้โจรบ้านั่นยังไม่ทันจะเปิดกระเป๋าเธอด้วยซ้ำ
“ยังอยู่ครบเลย ขอบใจมากนะคิม ไม่งั้นฉันต้องไม่มีเงินไปจ่ายค่าหน่วยกิตแน่ๆ”
“ไม่เป็นไร คือว่า...”
“อะไรนะ!”
ผมว่าผมเริ่มเกลียดไอ้ติณแล้วนะ อยากจะยกเท้าถีบมันไปไกลๆ เหลือเกิน อยู่ๆ มันจะพูดเสียงดังขึ้นมาทำไม คนอื่นเขาตกใจกันหมด
“ขอโทษนะคิม แต่ว่าฉันคงต้องกลับก่อน ถ้าฉันอยากจะขอเบอร์นายไว้จะได้รึเปล่า”
“เอ่อ...”
มันจะดีเหรอวะ?
ผมแอบถามตัวเองเบาๆ พลางชำเลืองหางตาเหล่มองไอ้ติณนิดหน่อยเพื่อขอความคิดเห็น สลับกับการมองโทรศัพท์มือถือที่ไอเดียส่งมาให้ผมเพื่อให้ผมกดเบอร์ของตัวเอง
จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะถามความเห็นของไอ้ติณหรอกนะ แต่อย่างน้อยสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียว แต่ว่าไอ้ติณมันไม่มองผมเลยสักนิดนี่สิ ไอ้เวร!
“ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ฉันแค่ลองถามดู เผื่อว่ามีโอกาสที่ฉันอาจจะได้ตอบแทนนายน่ะ”
“ดะ ได้สิ” ผมตอบตะกุกตะกักอีกรอบแล้วรับโทรศัพท์มือถือของไอเดียมากดเบอร์โทรของตัวเองลงไป จากนั้นก็กดโทรออก พอรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น ผมก็กดวางสายแล้วส่งมันคืนให้เธอไปตามมารยาท
“แล้วจะโทรไปนะ”
“อ่ะ อืม” ผมตอบงงๆ ทั้งที่ยังงงๆ เพราะว่ายังงงๆ นั่นแหละ
ไอเดียโบกมือลาผมก่อนจะหันไปส่งยิ้มลาไอ้ติณอีกคนโดยไม่พูดอะไรเพราะไอ้ติณยังคงเอาจริงเอาจังกับการคุยโทรศัพท์ ผมยืนยิ้มให้เธอกระทั่งเธอเดินลับสายตาไปตรงมุมตึก พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าไอ้ติณวางสายโทรศัพท์ข้ามชาติของมันได้สักที
