บทที่ 7 EP 02 ตัวซวย [1]

“หน้าม่อนะมึง”

มันด่าผมอีกแล้วนะ เราเพิ่งจะรู้จักกันได้แค่วันเดียว พูดกันยังไม่ถึงห้าประโยคเลยด้วยซ้ำ แถมเท่าที่ฟัง ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่มีประโยคไหนที่บ่งบอกว่าคนอย่างมันจะเป็นมิตรที่ดีเลยสักประโยคเดียว หน้าตากวนส้นตีนแล้วยังนิสัยเสียอีก

“ไม่ได้ม่อ”

“แล้วจะเอามั้ย”

“เอาอะไร” ผมถามงงๆ ยิ่งพูดกับมันผมยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่คนปกติ

“ไอเดีย? ใช่มั้ยวะ หรือว่ากูฟังผิด” ไอ้ติณพูดพลางเหลือบสายตามองไปทางที่ไอเดียเพิ่งจะเดินกลับออกไป แต่ถ้าลองมันถามแบบนี้ ผมว่ามันนั่นแหละที่หน้าม่อ เพราะผมยังไม่ทันจะคิดอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำไป เมื่อครู่ก็ไม่ทันจะได้มองหน้าหรือว่าสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษด้วยซ้ำ

“เพ้อเจ้อ”

“กูรู้นะว่ามึงชอบ”

เอ๊ะ ไอ้ห่านี่มันจะหาเรื่องผมให้ได้เลยหรือไง ท่าทางมันจะเป็นเอามาก

“เราถึงได้บอกว่านายเพ้อเจ้อไง” ผมบอกฉุนๆ ก่อนจะหันหลังให้ไอ้ติณเพราะไม่อยากคุยกับมันเรื่องไร้สาระ เสียเวลาชีวิตผมชะมัด

จริงๆ ผมยอมรับนะว่าไอเดียเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ขนาดมองผ่านๆ เห็นแต่ไกลๆ ความสวยของเธอยังทำให้ผมวิ่งตามไอ้โจรกระจอกนั่นมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย แต่ก็แค่สวยมั้ยล่ะ ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยเถิดขนาดนั้นสักหน่อย แต่ละวันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเจอะเจอคนสวยเลยสักหน่อย

อีกอย่างเมื่อครู่นี้ที่ผมยอมให้เบอร์เธอไปก็เพราะว่าผมไม่อยากเสียมารยาท ปฏิเสธก็กลัวเธอจะเสียหน้า ดีไม่ดีเธออาจจะคิดว่าผมหยิ่งก็ได้ แต่ดูไอ้ห่าติณมันคิด วันๆ ในสมองมันเคยคิดเรื่องดีๆ บ้างไหมก็ไม่รู้ ผมว่าไม่เคยหรอก เพราะถ้ามันคิดเรื่องดีๆ มันก็คงพูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ใช่พูดจาหาเรื่องคนอื่นไปทั่วแบบนี้

“ไอ้เหี้ยคิม” นั่นไง ชาติที่แล้วมันคงตายคาคู่มือการใช้ภาษาพ่อขุนรามคำแหงสินะ มันถึงได้พูดคำด่าคำตลอดเวลา

“อะไรของนายอีกล่ะ”

“ตกลงมึงจะไม่จีบไอเดียจริงๆ เหรอ กูว่าผู้หญิงเขาอ่อยมึงแล้วนะ”

“เราว่านายคิดมากไปแล้วนะ ไม่ใช่ว่าคนเราขอเบอร์กันแล้วจะต้องชอบกันสักหน่อย” ผมตอบเบื่อๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมต้องมาเสียเวลาอธิบายอะไรอย่างนี้ให้มันฟังทั้งๆ ที่ผมรู้สึกง่วงมาก อยากจะกลับห้องไปอาบน้ำนอน  (นับเงินเดือน) ใจจะขาด

“กูรู้ กูดูออก”

“นายจะรู้ได้ยังไงในเมื่อนายเอาแต่คุยแต่โทรศัพท์ นายยังไม่ทันจะได้มองหน้าไอเดียเลยด้วยซ้ำ”

“กูบอกว่ากูรู้ก็รู้สิวะ” ไอ้ติณยังคงพยายามเถียงด้วยใบหน้าจริงจัง แถมมันยังยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของมันขึ้นมากดหน้าจอโชว์ให้ผมดู

อะไรคือกดแล้วหน้าจอไม่เห็นจะมีอะไรขึ้นมาเลย แบบนี้คือมันต้องการจะให้ผมดูอะไร นี่มันจะกวนตีนผมเหรอ

“แบตฯ โทรศัพท์กูหมดไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน”

แล้วผมก็ได้คำตอบที่กำลังสงสัยพอดี แปลว่าเมื่อกี้นี้มันพูดโทรศัพท์คนเดียวสินะ ทุกคนเชื่อผมรึยังว่าสมองมันไม่ปกติ

“ไอ้ประสาท!”

“เอ้าไอ้เหี้ยนี่ กูพูดด้วยดีๆ มึงจะมาด่ากูทำไม นี่กูจริงจังนะเว้ย ผู้หญิงเขาอ่อยมึงขนาดนี้แล้ว ถ้ามึงไม่เอานี่มึงโง่มากเลยนะ”

“ถ้านายฉลาดนายก็เอาไปเองสิ ไม่ต้องมายัดเยียดให้เรา”

“ผู้ดีชะมัด นี่มึงแดกหนังสือสมบัติผู้ดีแทนข้าวเย็นหรือไง” ไอ้ติณยังคงพูดคำด่าคำไม่เปลี่ยน แถมมันยังเดินมาดักหน้าผมและผลักไหล่ผมให้ถอยหลังกลับมายืนที่เดิมเหมือนอยากจะหาเรื่องผมเพราะว่าผมพยายามจะเดินหนีมัน

“แล้วนายล่ะ เกิดในสมัยพ่อขุนรามฯเหรอ ถึงได้พูดคำด่าคำ”

“ก็มึงกับกูเพื่อนกันไม่ใช่รึไง”

“เป็นเพื่อนกันก็ยิ่งต้องเกรงใจสิ ไม่ใช่คำก็เหี้ยสองคำก็สัตว์”

“ไอ้สัตว์นี่! ก็กูเป็นของกูแบบนี้ ทำไม หรือถ้ากูจะเป็นเพื่อนมึงนี่คือกูต้องนุ่งโจงกระเบนแล้วคลานเข่าเลยมั้ยไอ้เหี้ย!”

ผมล่ะเบื่อจะอธิบายกับมันจริงๆ แต่จะเดินหนี มันก็ยืนขวางเสียเต็มปากซอยเลย นี่ตัวมันจะใหญ่ไปไหน

“ไม่ต้อง เราก็แค่ไม่ชอบให้พูดคำด่าคำ”

“ครับ” ไอ้ห่านี่จะกวนประสาทผมทำไมวะ...ครับ

“ตกลงมึง เชี่ยเอ๊ย ไม่ชินปากว่ะ ตกลงคิมจะเอาไอเดียมั้ย”

ผมว่าผมเริ่มรำคาญมันมากกว่าเดิมอีกนะ อีกอย่างคือยิ่งฟังมันพูดเพราะผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนมันกำลังจะทำให้ภาษาไทยวิบัติชอบกล คนห่าอะไร พูดจาปกติแต่ดันทำให้ความหมายของรูปประโยคดีๆ เปลี่ยนไปในทางไม่ดีได้ขนาดนี้

“นายพูดปกติตามสันดานก็แล้วกัน ไม่ต้องดัดจริตหรอก เราจะพยายามฟัง”

อืม แล้วผมก็พยายามจะพูดคำด่าคำแบบมันบ้าง กระดากปากนิดหน่อยแต่มันคงเข้าใจนั่นแหละ

“เออ กว่าจะปั้นคำได้ นายๆ เราๆ ลิ้นกูจะพันกันตาย”

ไม่เคยคิดเลยว่าการพูดจาสุภาพมันจะเป็นเรื่องยากขนาดนั้น แต่ผมว่าผมเข้าใจนะ เพราะถ้าให้ผมพูดคำด่าคำแบบมันผมก็ทำได้ไม่ดีเหมือนมันหรอก

บทก่อนหน้า
บทถัดไป