บทที่ 8 EP 02 ตัวซวย [2]

“เฮ้อ! มึงไม่เสียดายของบ้างเหรอวะ ดูจากสายตาแล้วกูว่าไอเดียคงประทับใจมึงนะ” ไอ้ติณพูดพลางเอื้อมมือมาตบบ่าผมราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานสามชาติกว่า ทั้งที่ผมเพิ่งจะทำใจยอมรับว่าคงหนีเพื่อนรุ่นท่านขุนอย่างมันไม่พ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ตั้งแต่เห็นความพยายามในการที่จะพูดเพราะของมัน

“เราว่าน่าจะเป็นเพราะไอเดียเข้าใจผิดเรื่องกระเป๋ามากกว่า”

“ก็คงจริง”

“ถามมากขนาดนี้นายชอบไอเดียเหรอ ถ้าชอบไอเดียแล้วเมื่อกี้นายแกล้งไม่สนใจเธอทำไม ทำไมไม่บอกเธอไปว่าจริงๆ แล้วนายเป็นคนแย่งกระเป๋าของเธอคืนจากไอ้โจรนั่น” ผมรีบถามเพราะเริ่มสงสัย แต่ไอ้ติณกลับรีบส่ายหัวปฏิเสธ

“กูก็ถามไปตามมารยาท”

“ไม่เคยรู้เลยว่านายมีคุณสมบัตินั้น อีกอย่างนายไม่เสียดายของเหรอ” ผมย้อนถามพลางแอบกระแนะกระแหน

“กูเลือกมีมารยาทกับบางคน อีกอย่างเรื่องเสียดายของใช้ไม่ได้กับคนอย่างกู เพราะถ้าคนอย่างกูจะเอา รับรองว่ามึงไม่ได้แดกหรอก กูบอกเลย” ไอ้ติณพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจแล้วมองผมด้วยสายตาเย้ยๆ จนผมเริ่มจะหมั่นไส้ อะไรมันจะมั่นหน้าเบอร์นั้น

“แล้วนี่มึงจะไปไหน ดึกดื่นแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านไปกินนมนอน”

เป็นอันว่าเปลี่ยนประเด็นสนทนาได้สักที เฮ้อ! ผู้ชายอะไรคำถามเยอะชะมัด จุกจิกมากกว่าแม่ผมอีก

“แล้วนายล่ะ” ผมย้อนถามเซ็งๆ

จริงๆ คือผมตั้งใจจะไม่ตอบคำถามเพราะเกลียดปากมัน ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจด่าว่าผมเป็นเด็กทั้งที่มันเองก็ไม่ได้ดูโตไปกว่าผมเลยสักนิด แค่สูงกว่าผม ยิ่งถ้าวัดกันด้วยเรื่องสติปัญญาผมว่ามันน่าจะด้อยกว่าผมเป็นกอง เพราะคนสติดีที่ไหนเขาจะแกล้งพูดโทรศัพท์คนเดียวล่ะ

“กูก็มาหานมกินนี่ไง” ไอ้ติณตอบกลับมาตรงๆ แต่สายตาบ่งบอกว่านมมันกับนมผมน่าจะคนละความหมาย

เป็นอันว่าผมจะไม่เถียงกับมันเรื่องต่ำๆ (กว่าใต้สะดือ) อีกก็แล้วกัน เพราะว่าผมคงสู้ความหยาบคายและหยาบกระด้างของมันไม่ได้หรอก

ผมถอนหายใจเซ็งๆ เพราะไม่อยากจะใส่ใจอะไรกับไอ้ติณมากนัก ตั้งแต่คุยกับมันมาผมไม่เห็นทีท่าว่ามันจะจริงจังกับเรื่องอะไรที่พูดออกมาสักเรื่องหนึ่งเลย

แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้เดินออกมาจากซอยพร้อมไอ้ติณได้ล่ะเนี่ย มารู้ตัวอีกทีผมกับมันก็เดินย้อนกลับมาจนเกือบจะถึงจุดที่ผมโดนไอ้โจรกระจอกนั่นวิ่งชนเมื่อกี้นี้แล้ว

“ตกลงว่าบ้านมึงอยู่ไหน ถ้าไม่ไกลกูไปส่งได้นะ”

“ไม่เป็นไร เราเดินกลับเองได้”

“เออดี ไม่เปลืองน้ำมันกู” ไอ้ติณพูดพลางไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปที่รถของมัน ซึ่งก็คือรถคันที่ผมโดนไอ้โจรนั่นชนจนล้มไปชนเข้านั่นแหละ

คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คนอย่างมันจะขับรถหรูๆ เพราะดูจากรูปร่างหน้าตาและการใช้ชีวิตของมันแล้ว มันก็คงจะเป็นลูกคุณหนูที่ถูกสปอล์ยด้วยเงินมาตั้งแต่เด็ก

ผมแยกกับไอ้ติณโดยไม่มีคำบอกลาใดๆ หมุนตัวเดินย้อนกลับมาอีกทางเพราะเมื่อกี้นี้ผมมัวแต่คุยกับไอ้ติณเพลินไปหน่อยก็เลยเดินเลยซอยน่ะ ทางเข้าอพาร์ทเม้นท์ของผมมันอยู่เลยจากร้านไปแค่สองซอย แต่เมื่อกี้นี้วิ่งไล่ไอ้โจรนั่นเลยไปหลายซอยก็เลยต้องเดินย้อนกลับมา ซึ่งก็ย้อนเลยไปอีก สรุปก็คือผมเดินย้อนไปย้อนมาอยู่แค่นี้เอง

แค่กกกก!

ผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างถูกลากไปกับพื้น เสียงของมันดังมากและดังยาวไปเรื่อยๆ จนผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังเมมเบอร์ไอเดียไว้ขึ้นไปมอง

แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ชัดนัก เพราะจุดที่ผมมองออกไปมันค่อนข้างมืด ภาพที่เห็นน่าจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินสวนไปคนละทางกับผม แต่จากระยะห่างของเราทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดสักเท่าไร รู้แต่ว่าในมือของผู้ชายคนนั้นมีอะไรสักอย่างที่เขาลากมันไปกับพื้นจนเกิดเสียงดังน่ารำคาญ

ผมมองตามแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความแปลกใจ กระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้แสงสว่างของไฟส่องสว่างบริเวณเสาไฟมากขึ้น ซึ่งยิ่งใกล้ ผมก็ยิ่งเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น ยิ่งเห็นชัดขึ้นผมก็ยิ่งรู้สึกคุ้นกระทั่งสังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเดินตรงไปที่ไอ้ติณ ที่ยังยืนคุยโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จพาวเวอร์แบงค์เรียบร้อยแล้วอยู่ข้างตัวรถ ขออนุญาตเกลียดสีพาวเว่อร์แพงค์มัันจะได้มั้ยนะ พาสเทลเชียว ไอ้เวร!

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมมองย้อนกลับมาที่ผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง และภาพใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็ชัดเจนขึ้นเมื่อเขาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณเสาไฟตรงนั้นพอดี และมันก็คือไอ้โจรกระจอกคนเมื่อกี้นี้ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าการได้เจอมันอีกครั้ง ก็คือมันกลับมาพร้อมกับไม้หน้าสามท่อนยาวหนึ่งช่วงแขนในมือ

“ติณ ระวัง!”

แล้วผมก็ตัดสินใจตะโกนเรียกไอ้ติณออกไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป