เจ็บที่ต่อย

เกรย์

ฉันตื่นขึ้นมาบนเตียงที่ว่างเปล่า ฉันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ม่านเปิดแง้มอยู่นิดหน่อย แสงแดดเลยส่องลอดเข้ามา ฉันกุมหัวตัวเอง อาการเมาค้างเล่นงานเข้าแล้ว ทำให้วันนี้ยิ่งดูยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อคืนนี้ ความฝันที่มาร์คมาอยู่บนเตียงกับฉันมันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ฉันมองไปรอบห้อง พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นแค่ความฝัน เสื้อผ้าของมาร์คไม่ได้อยู่ที่นี่... ฉันได้กลิ่นอาหารเช้า พ่อคงกลับมาบ้านแล้วแน่ๆ

ฉันลุกจากเตียงในสภาพที่สวมเสื้อยืดสีขาวกับจีสตริงลูกไม้แบบที่ฝันว่าตัวเองใส่ไม่มีผิด แม้แต่ชุดเดรสของฉันก็ยังพับวางอยู่บนเก้าอี้ เหมือนในฝันเป๊ะ มันเป็นความฝันจริงเหรอเนี่ย ฉันถอนหายใจแล้วลุกจากเตียงไปอาบน้ำอุ่น ฉันตัดสินใจใส่กางเกงยีนส์สกินนี่สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าบูตสีดำที่มาร์คให้มา เสื้อเบลาส์สีขาว และแจ็กเก็ตสูทสีดำแขนสามส่วน ฉันปล่อยผมลอนนุ่มสลวยของตัวเองแล้วจัดการแต่งหน้า

พอเสร็จแล้ว ฉันก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาเช็กดูว่าของทุกอย่างยังอยู่ข้างในครบหรือเปล่า ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ฉันเลยเก็บมือถือไว้ในกระเป๋า ฉันเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป กลิ่นอาหารเช้าทำเอาฉันหิว ฉันเดินลงบันไดไปพร้อมกับเสียงท้องที่ร้องโครกคราก

ฉันมาถึงห้องครัวแล้วก็ต้องชะงักฝีเท้า เผลอสูดหายใจเข้าเฮือกเล็กๆ คนที่อยู่หลังเตาคือมาร์ค เขาสวมกางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตสีขาว กำลังทำอาหารเช้าอยู่ ความฝันของฉันเป็นเรื่องจริง เขาหันมาพร้อมกับกระทะในมือแล้วมองมาทางฉัน

“อรุณสวัสดิ์ รู้สึกเป็นไงบ้าง” เขาถามพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เอ่อ...ปวดหัวจะแตกอยู่แล้ว ฉันนึกว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ฝันไปเสียอีก แต่คุณก็มาอยู่ที่นี่ แสดงว่าเมื่อคืนเป็นเรื่องจริงสินะคะ” ฉันพูด แต่ขากรรไกรของเขาขบกันแน่นขณะที่ตักไข่คนใส่จานของเรา เขาไม่พูดอะไร “ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนนะคะ” ฉันพูดพลางขยับเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ครัวมากขึ้น

“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ที่เป็นห่วงคุณจะทำ” เขาพูดพลางวางกระทะลงในอ่างล้างจาน เขาลงนั่งบนเก้าอี้บาร์สตูล ส่วนฉันก็ไปนั่งฝั่งตรงข้าม ฉันวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้บาร์สตูลตัวข้างๆ “คุณต้องระวังตัวให้มากกว่านี้เวลาไปเที่ยวคลับ ผมแนะนำให้คุณไปแต่คลับของเพื่อนผมเท่านั้น ผมจะดูแลให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณตอนที่ผมไม่อยู่” เขาพูดด้วยแววตาจริงจัง

ฉันกลืนน้ำลาย รู้สึกผิดเรื่องที่ไปคลับ “ค่ะ แต่ฉันไปกับพวกเด็กฝึกงานนะคะ”

“พวกนั้นก็อาจจะเมาเหมือนคุณนั่นแหละ เกรย์ เพราะงั้นคลับของเพื่อนผมคือที่เดียวที่คุณจะไป และเรื่องนี้ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น” เขาพูดพลางจ้องเขม็งมาที่ฉัน ไม่ใช่การจ้องแบบร้อนแรง แต่เหมือนผู้ใหญ่กำลังอบรมสั่งสอนเด็กมากกว่า

“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ” ฉันแย้ง

“งั้นก็เลิกทำตัวเป็นเด็กเสียที” เขาพูดใส่หน้าฉันอย่างเย็นชาจนทิ่มแทงหัวใจ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือมองเขาอย่างตกตะลึง ฉันไม่เคยเจอเขาในมุมนี้มาก่อนเลย ยกเว้นตอนที่เขาอารมณ์เสียเรื่องงานที่ออฟฟิศ แต่ก็ไม่เคยถึงขนาดนี้ “เรื่องที่คุณทำเมื่อคืนก็ห้ามเกิดขึ้นอีก” เขายังคงมองฉันด้วยใบหน้าเย็นชาราวกับหินผา

“หมายถึงเรื่องจูบสินะคะ”

“ใช่ ผมน่าจะรู้ว่าคุณแอบชอบผมอยู่ แต่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านี้อีกแล้ว คุณล้ำเส้นนะ เกรย์” เขาพูด ฉันหมดอารมณ์กินอาหารทันที ฉันวางส้อมลงบนจาน

“คุณก็จูบฉันตอบนี่คะ แล้วจะบอกว่าวิธีที่คุณจูบฉันมันไม่มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ” ฉันพูดพลางเงยหน้ามองเขา

“มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรเลย ตอนนี้คุณก็รู้แล้วนะว่าผมรู้สึกกับคุณยังไง คุณจะเป็นแค่ลูกสาวตัวน้อยของเพื่อนรักผม ที่ห้ามแตะต้องโดยเด็ดขาด อย่าพยายามทำอะไรทั้งนั้น เพราะมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเห็นอะไรระหว่างเรา แต่บอกเลยว่ามันไม่มีอะไรทั้งนั้น มันมีแต่เรื่องของคุณและความรู้สึกของคุณฝ่ายเดียว ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลย เพราะคำพูดของคุณเมื่อคืนมันคือทุกอย่างที่ทำให้ผมต้องขีดเส้นแบ่งกับคุณเดี๋ยวนี้ และพูดกับคุณตรงๆ ไปเลย ผมไม่สนใจลูกสาวของเพื่อนสนิทตัวเอง!” เขาประกาศ

คำพูดนั้นทำร้ายฉัน แล้วนี่ฉันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ คิดว่าตัวเองจะได้อยู่กับมาร์ค สเติร์นอย่างมีความสุขไปตลอดกาลหรือไง มันก็เป็นแค่อาการหลงใหลโง่ๆ เท่านั้นแหละ “ฉันหมดอารมณ์กินแล้วค่ะ” ฉันพูดพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้บาร์สตูล

“บนตู้มียาแก้ปวดอยู่ สำหรับแก้ปวดหัวของคุณ” เขาบอก ฉันหยิบยาแก้ปวดแล้วรินน้ำใส่แก้ว กลืนยาสองเม็ดลงไป

“ฉันพร้อมไปทำงานแล้วค่ะ” ฉันบอก

“ผมจะเป็นคนขับเอง คุณขับรถในสภาพแบบนี้ไม่ได้หรอก” เขาลุกขึ้น ส่ายหัวให้กับตัวเองแล้วแค่นหัวเราะ “ทั้งสภาพที่อยากได้ผม ทั้งสภาพที่เจ็บปวด” เขาพูดอย่างขบขันเหมือนว่านี่เป็นเรื่องตลกบ้าๆ สำหรับเขา

“งั้นฉันจะเรียกแท็กซี่เอง คุณก็เอารถบ้าๆ ของฉันไปเลยสิ!” ฉันพูดในขณะที่น้ำตาร้อนผ่าวขึ้นมาที่ขอบตา ฉันเดินออกจากห้องครัว

“เกรย์ คุณจะไปกับผม และนี่คือคำสั่งเด็ดขาด!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกให้รู้ว่ากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา ฉันไม่อยากเห็นเขาในด้านนั้น เลยได้แต่กะพริบตาไล่น้ำตาแล้วออกไปรอเขาข้างนอก

พนันได้เลยว่าเขาคงกำลังเก็บกวาดอยู่ เพราะเราสายไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว เราต้องรีบเริ่มงานของวันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมของเขา และฉันก็รู้สึกได้เลยว่าเขาต้องพูดแน่ๆ ว่าฉันคือต้นเหตุที่ทำให้เราสาย ที่จริงเขาไม่เห็นต้องทำอาหารเช้าให้เลยด้วยซ้ำ ฉันกรอกตา ฉันเห็นเขาเดินออกมาจากบ้านแล้วล็อกประตู ตอนนี้เขาสวมแจ็กเก็ตทับแล้ว เป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน ในขณะที่ฉันยืนพิงรถตัวเองอยู่ พอเขาเดินมาที่รถ ฉันก็หันหน้าหนี แค่เพียงสายตาหรือน้ำเสียงที่แข็งกระด้างจากเขาก็อาจทำให้ฉันพังทลายลงได้แล้ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป